วันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2559

"ปัญหา" สุขภาพสุนัขที่พบมากที่สุด

             เพราะความแตกต่างของสุนัขแต่ละสายพันธ์ อุปนิสัยและพฤติกรรมแตกต่างกันจึงทำให้สุนัขแต่ละตัว โดยส่วนใหญ่ที่เกิดล้มป่วยขึ้นมา จะเกิดจากพฤติกรรมต่างๆ เช่น การกิน กิจวัตรประจำวัน วิธีการเลี้ยงดู หรือแม้กระทั้งโรคที่เกิดจากกรรมพันธ์ ซึ่งส่วนมากแล้วสุนัขที่มีอาการป่วยที่อยู่ภายในมักจะไม่แสดงอาการออกมาให้เห็นโดยทันทีแต่จะค่อยๆ แสดงอาการออกมาให้เห็นทีละน้อย เราจึงควรใส่ใจในการดูแลสุนัขโดยการสังเกตอาการของสุนัขให้มากขึ้นหรือต้องพาพวกเขาตรวจสุภาพบ่อยๆ เพื่อป้องกันการเกิดโรคเหล่านี้ได้ มาดูกันว่าปัญหาสุขภาพสุนัขนั้นส่วนใหญ่จะมีอะไรบ้าง


1 โรคไขข้อ


โรคข้อต่อเสื่อม มีประเด็นมากมายที่เป็นสาเหตุให้เกิดปัญหาเหล่านี้ ซึ่งผลลัพธ์ที่เห็นก็เหมือนกัน นอกจากนี้ความเจ็บปวดจากไขข้อและความเมื่อยล้าแล้ว สุนัขยังจะได้รับความเจ็บป่วยจากโรคหวัดและเบื่ออาหาร อันก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ได้


2.พยาธิ


พยาธิที่พบมากมีผลต่อสุนัข
-พยาธิหนอนหัวใจ  - พยาธิตัวกลม  -พยาธิตัวตืด
-พยาธิปากขอ --พยาธิแส้ม้า

3. ภูมิแพ้

ถ้าหากสุนัขของคุณมีรอยเกาและมีอาการคันเป็นไปได้มากที่สุดที่จะเป็นภูมิแพ้



4. อาการไอของสุนัข




ไวรัสและแบคทีเรียทำให้เกิดการติดเชื่อของกล่องเสียงและหลอดลมของสุนัข

5. อาเจียน


เป็นเรื่องปกติหากสุนัขของคุณอาเจียน มักเกิดจากการกินอะไรบางอย่างเข้าไป


6. ความอ้วน


การที่สุนัขควบคุมอาหารและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำสามารถทำให้สุนัขของคุณกลับมามีสุขภาพดีได้


7.โรคเบาหวาน


อาการโรคเบาหวานในสุนัขรวมถึงการเปลี่ยนแปลงในความอยากอาหารและกระหายน้ำมากเกินไปอาจทำให้อาเจียนได้

8.เห็บ.หมัด


หลีกเลี่ยงศัตรูเหล่านี้ ดูแลและป้องกันเห็บและหมัดจากสัตว์เลี้ยงของคุณในทุกๆ เดือน

9. โรคมะเร็ง



สังเกตกลิ่นที่ผิดปกติของก้อนเนื้อและน้ำหนักที่ลดลงติดต่อกันเป็นเวลานาน 






"ปัญหาสุขภาพสุนัข" ที่พบมากที่สุด

เพราะความแตกต่างของสุนัขแต่ละสายพันธ์ อุปนิสัยและพฤติกรรมแตกต่างกันจึงทำให้สุนัขแต่ละตัว โดยส่วนใหญ่ที่เกิดล้มป่วยขึ้นมา จะเกิดจากพฤติกรรมต่างๆ เช่น การกิน กิจวัตรประจำวัน วิธีการเลี้ยงดู หรือแม้กระทั้งโรคที่เกิดจากกรรมพันธ์ ซึ่งส่วนมากแล้วสุนัขที่มีอาการป่วยที่อยู่ภายในมักจะไม่แสดงอาการออกมาให้เห็นโดยทันทีแต่จะค่อยๆ แสดงอาการออกมาให้เห็นทีละน้อย เราจึงควรใส่ใจในการดูแลสุนัขโดยการสังเกตอาการของสุนัขให้มากขึ้นหรือต้องพาพวกเขาตรวจสุภาพบ่อยๆ เพื่อป้องกันการเกิดโรคเหล่านี้ได้ มาดูกันว่าปัญหาสุขภาพสุนัขนั้นส่วนใหญ่จะมีอะไรบ้าง


1 โรคไขข้อ


โรคข้อต่อเสื่อม มีประเด็นมากมายที่เป็นสาเหตุให้เกิดปัญหาเหล่านี้ ซึ่งผลลัพธ์ที่เห็นก็เหมือนกัน นอกจากนี้ความเจ็บปวดจากไขข้อและความเมื่อยล้าแล้ว สุนัขยังจะได้รับความเจ็บป่วยจากโรคหวัดและเบื่ออาหาร อันก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ได้


2.พยาธิ


พยาธิที่พบมากมีผลต่อสุนัข
-พยาธิหนอนหัวใจ  - พยาธิตัวกลม  -พยาธิตัวตืด
-พยาธิปากขอ --พยาธิแส้ม้า

3. ภูมิแพ้

ถ้าหากสุนัขของคุณมีรอยเกาและมีอาการคันเป็นไปได้มากที่สุดที่จะเป็นภูมิแพ้



4. อาการไอของสุนัข




ไวรัสและแบคทีเรียทำให้เกิดการติดเชื่อของกล่องเสียงและหลอดลมของสุนัข

5. อาเจียน


เป็นเรื่องปกติหากสุนัขของคุณอาเจียน มักเกิดจากการกินอะไรบางอย่างเข้าไป


6. ความอ้วน


การที่สุนัขควบคุมอาหารและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำสามารถทำให้สุนัขของคุณกลับมามีสุขภาพดีได้


7.โรคเบาหวาน


อาการโรคเบาหวานในสุนัขรวมถึงการเปลี่ยนแปลงในความอยากอาหารและกระหายน้ำมากเกินไปอาจทำให้อาเจียนได้

8.เห็บ.หมัด


หลีกเลี่ยงศัตรูเหล่านี้ ดูแลและป้องกันเห็บและหมัดจากสัตว์เลี้ยงของคุณในทุกๆ เดือน

9. โรคมะเร็ง



สังเกตกลิ่นที่ผิดปกติของก้อนเนื้อและน้ำหนักที่ลดลงติดต่อกันเป็นเวลานาน 





วันอังคารที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2559

10 แบบบ้านสุดทันสมัยสำหรับเพื่อนสี่ขาของคุณ


เมื่อตอนเด็กๆ คุณเคยไหมที่จะมีห้องนอนส่วนตัวเล็กๆ ไว้สักห้องหนึ่ง เพื่อเป็นที่ที่คุณสามารถนอนเกลือกกลิ้งได้อย่างสบายตัว นั่นแหละครับสุนัขตัวโปรดของเราก็ต้องการพื้นที่เล็กๆ ที่เป็นพื้นที่ส่วนตัวเช่นกัน วันนี้เรามาดูแบบบ้านสำหรับสุนัขเพื่อนที่แสนดีของเราว่ามีแบบไหนบ้าง เลือกให้เหมาะกับเพื่อนของเราได้เลย... 




1.Nomad Style
สำหรับเพื่อนรักสุดแสบ บ้านที่เหมาะที่สุดคือ สไตล์ Nomad ถูกออกแบบมาด้วย สไตล์ย้อนยุคมนุษย์อวกาศ เหมาะสำหรับการตั้งไว้ในบ้านเพื่อให้คุณได้สอดส่องเพื่อนรักของคุณได้ดีที่สุด
ระหว่างในการพักผ่อนอยู่กับเพื่อนแสนรักของคุณ



 2.Classically Crooked
บ้านหลังนี้เหมาะกับการที่จะตั้งอยู่ในสวนหรือสนามหญ้าหน้าบ้านที่สุดท่ามกลางดอกไม้ ต้นไม้ เพื่อให้เพื่อนแสนรักได้วิ่งเล่นในยามตื่น



3.Breezy Bungalow
บ้านสุนัขแบบ Open-air เปิดโล่งด้วยไม้กระดานสุดคลาสสิคสามารถสร้างบ้านสุนัขอันแสนน่านอนนี้เพื่อช่วยให้เพื่อนรักของคุณผ่อนคลายในที่นอนอันแสนสบาย 



4.Dog Cabin
บ้านไม้สุนัขหลังเล็กๆ ที่สร้างขึ้นด้วยแผ่นไม้ สไตล์ Cabin ที่คุณอาจจะเข้าไปนอนเล่นกับเพื่อนรักของคุณได้ด้วยและสิ่งที่ภูมิใจนำเสนอก็คือ ระเบียงไม้สำหรับชามอาหารและน้ำให้กับเพื่อนรักของคุณในยามตื่นนอนคุณจะรู้สึกอิจฉาและอยากเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้กับเพื่อนรักของคุณด้วยก็ได้นะ



5.Modern Beauty
สนามหญ้าหลังบ้านที่ดูโล่งๆของคุณ จะต้องอัพเกรดขึ้นแน่นอนหากมีบ้านสุนัขสุดทันสมัยหลังนี้มาตั้งไว้ เพราะมันเป็นที่ตื่นตาตื่นใจกับเพื่อนบ้านของคุณแน่นอนกับบ้านไม้ย้อมสีและหลังคาสแตนเลสสุดอินเทรนด์หลังนี้ และสุนัขของคุณต้องชอบในสิ่งที่คุณทำให้แน่นอน



6.Mobile Home
บ้านสำหรับลูกสุนัข ที่ออกแบบด้วยการเคลื่อนย้ายที่แสนง่ายบนล้อแบบ Solution ที่ทันสมัยและยังมีระเบียงหน้าบ้านน่ารักๆ ที่ให้เพื่อนตัวโปรดของคุณพักผ่อนในระหว่างวันหลังจากการวิ่งไล่ลูกบอลอันแสนเหน็ดเหนื่อยอีกด้วย 



7.Room With A View
บ้านสุนัขที่โล่งหูโล่งตาสำหรับสุนัขขี้เหงา ถ้าสุนัขเพื่อนรักของคุณถูกกักขังเป็นเวลานานในขณะที่คุณมีธุระที่ยาวนานในระหว่างวัน เขาควรมีพื่นที่เล็กๆ น้อยๆ เพื่อเป็นการผ่อนคลายในขณะที่คุณหายไป


8.Sun Deck Sanctuary
บ้านไม้ที่ถูกสร้างขึ้นด้วยไม้พาเลทล้วนๆ ทาสีดำเน้นหน้าต่างที่กว้างเพื่อการสอดส่องของเพื่อนรักสี่ขา เปรียบเสมือนเป็นป้อมปราการค่อยดูแลสอดส่องความเคลื่อนไหวของสิ่งรอบๆบ้านอีกด้วย 




9.Sweet and Simple
ด้วยบ้านสุนัขสีสันสดใสหลังกระถัดรัดแบบพื้นฐานหลังนี้ออกแบบมาเพื่อเพื่อนแสนรักที่สามารถ ออกแบบสีสันได้ตามใจผู้ปกครองกันเลยที่เดียว 



10.Rooftop Relaxation
บ้านสุนัขที่สร้างสรรค์ด้วยไม้กระดานธรรมดาที่ถูกสร้างเพื่อสุนัขที่ชอบการอาบแดดและรักสะอาดของคุณด้วยดาดฟ้าที่เหมาะสำหรับการพักผ่อนและสอดส่องอาณาจักรของเขาได้ 


ขอขอบคุณที่มา..
 https://www.cuteness.com



วันอาทิตย์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2559

4 ปัญหาสำคัญที่สัตวแพทย์อังกฤษชี้ ทำไมไม่ควรเลี้ยงหมาหน้าสั้น ?


หมาหน้าสั้น เช่น ปั๊ก บูลด็อก หรือชิสุ อาจดูน่ารัก จนทำให้หลายคนอยากเลี้ยงจนกลายเป็นกระแส สัตวแพทย์จาก The British Veterinary Association จากอังกฤษ เลยได้ออกมาเตือนว่า หมาหน้าสั้นมีปัญหาเรื่องสุขภาพหลายอย่าง เลี้ยงยาก ไม่ควรเลี้ยงหากไม่พร้อม  

        เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาได้เกิดกระแสเลี้ยงหมาพันธุ์เล็กหน้าสั้นขึ้น ด้วยขนาดตัวที่เล็ก หน้าตาไม่เหมือนใคร ไม่ว่าจะเป็น บูลด็อก (Bulldog), เฟรนช์ บลูด็อก (French Bulldog),

เจแปนนิส ชิน (Japanese Chin), ชิห์สุ (Shih Tzu), ปั๊ก (Pug), มอลทีส (Maltese), อิงลิช ทอยด์ สแปเนียล (English Toy Spaniel), ปักกิ่ง (Pekingese) และอื่นๆ เลยมีคนสนใจเลี้ยงเป็นจำนวนมาก เพราะความน่ารักน่าชังของพวกมัน แต่หมาหน้าสั้นเหล่านี้ไม่ได้เลี้ยงง่ายอย่างที่คิดและยังต้องการการดูแลที่มากกว่าหมาทั่วไป 





เพราะโครงสร้างร่างกายของหมาหน้าสั้นที่แตกต่างจากหมาทั่วไป เลยทำให้มีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพมากกว่าหมาพันธุ์อื่น ๆ ตัวอย่างเช่น ปัญหาด้านการหายใจ การกิน รวมไปถึงโรคต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับตา ซึ่งค่ารักษาของโรคในหมาหน้าสั้นเหล่านี้ก็สูงพอสมควร ด้วยเหตุนี้จึงเกิดปัญหาการทอดทิ้งตามมา โดยเฉพาะที่ประเทศอังกฤษ อัตราการทอดทิ้งหมาหน้าสั้นถือว่าสูงมาก สาเหตุหลักเลยก็คือเจ้าของสู้ค่ารักษาพยาบาลไม่ไหว 



  สัตวแพทย์ จาก The British Veterinary Association จึงได้ออกมาแนะนำให้เลี้ยงหมาพันธุ์อื่นแทน ถ้าจะเลี้ยงหมาหน้าสั้นต้องมีความพร้อมจริง ๆ และศึกษาการเลี้ยงดูมาอย่างดีเท่านั้น ไม่ควรเลี้ยงตามเทรนด์ พร้อมทั้งเผยถึงปัญหาสุขภาพที่พบบ่อยในหมาหน้าสั้น 

ปัญหาการหายใจ

        จะสังเกตได้ว่า หมาหน้าสั้น จะหายใจเสียงดัง ลักษณะเหมือนกับหอบเหนื่อยตลอดเวลา ซึ่งปัญหาดังกล่าวเกิดจากรูจมูกที่แคบ เพดานอ่อนในช่องปากยื่น และกล่องเสียงตีบ ซึ่งลักษณะเหล่านี้ไปรบกวนการหายใจ เลยทำให้หมาหน้าสั้นทุกตัวหายใจลำบาก  

ปัญหาเกี่ยวกับตา

        ตาของหมาหน้าสั้นจะปูดโปนออกจากเบ้าตา ด้วยเหตุนี้ตาของพวกมันจึงสัมผัสทั้งอากาศ ฝุ่นละออง และสิ่งแปลกปลอมอื่น ๆ ได้ง่าย โดยโรคเกี่ยวกับตาที่พบบ่อยในหมาหน้าสั้น ได้แก่ โรคตาแห้ง ตาแฉะ ลูกตาหลุด ออกจากเบ้า และตาอักเสบ เป็นต้น


ปัญหาเกี่ยวกับผิวหนัง

        โรคผิวหนังในหมาหน้าสั้นมักจะเกิดกับหมาที่ผิวหนังมีรอยพับรอยย่น อย่าง ปั๊กและบูลด็อก สาเหตุเกิดจากความสกปรกที่หมักหมมกับความชื้นที่อยู่ตามรอยพับของผิวหนัง  ซึ่งจะทำให้เกิดเชื้อแบคทีเรียและเกิดการอักเสบตามมา

ปัญหาเรื่องคลอด

        เนื่องจากสะโพกของ หมาพันธุ์เล็ก หน้าสั้นมีลักษณะแคบ อีกทั้งรูปร่างของลูกหมาที่มีหัวและไหล่ใหญ่ หมาเหล่านี้จึงค่อนข้างคลอดลูกยาก และอาจจะเกิดภาวะเสี่ยงและเป็นอันตรายต่อทั้งแม่และลูกหมา  


        จะเห็นได้ว่าหมาหน้าสั้นมีปัญหาทางสุขภาพเยอะกว่าหมาทั่วไป ฉะนั้นก่อนจะเลี้ยงต้องแน่ใจว่าพร้อมที่จะรับมือกับการดูแลที่ต้องเอาใจใส่มากเป็นพิเศษ รวมถึงค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคต่างๆ 



 ขอขอบคุณข้อมูลจาก viralnova, theguardian, telegraph, express, vcahospitals และ ufaw 







วันพฤหัสบดีที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2559

โรคสะบ้าเคลื่อนในสุนัข (Patellar Luxation)

โรคสะบ้าเคลื่อนในสุนัข (Patellar Luxation)

 

สะบ้าเคลื่อน (patellar luxation) เป็นความผิดปกติของข้อเข่า พบมากในสุนัขพันธุ์เล็ก เช่น miniature และ toy poodles, yorkshire terriers, pomeranians, pekingese, chihuahuas และ boston terriers มักพบการเคลื่อนเข้าด้านใน (medial) มากกว่าเคลื่อนออกด้านข้าง (lateral) การเคลื่อนของสะบ้าในสุนัขส่วนใหญ่เป็นมาแต่กำเนิด หรือเกิดขึ้นภายหลังจากการกระทบกระแทก สุนัขที่มีสะบ้าเคลื่อนเป็นเวลานานมักพบการฉีกขาดของ cranial cruciate ligament และ meniscus ร่วมด้วย ทำให้เกิด lateral collateral instability และเกิดโรคข้อเสื่อมตามมา
 
 

กระดูกสะบ้าฝังอยู่ในเอ็นรวมของกลุ่มกล้ามเนื้อ quadriceps ซึ่งประกอบด้วยกล้ามเนื้อ rectus femoris, vastus lateralis, vastus intermedius และ vastus medialis รวมกันเป็น patellar ligament ยึดติดกับขอบด้านล่างของสะบ้า ไปยึดเกาะที่ tibial tuberosity ของกระดูก tibia ส่วนของ trochlear ridges ของกระดูก femur จะช่วยกักสะบ้าไว้ในร่อง trochlear sulcus และอยู่ในแนวที่เหมาะสำหรับการทำงานของกลุ่มกล้ามเนื้อ quadriceps, patellar ligament และ tibial tuberosity ถ้ามีความผิดปกติอย่างใดอย่างหนึ่งของลักษณะทางกายวิภาคของส่วนต่างๆเหล่านี้ จะทำให้เกิดการเคลื่อนของสะบ้าขึ้น
 
ลักษณะและอาการของสุนัขที่มีสะบ้าเคลื่อน
อาการของสุนัขที่มีสะบ้าเคลื่อน แบ่งตามระดับความรุนแรงของสะบ้าที่เคลื่อนออกได้เป็น 4 ระดับ คือ

ระดับที่ 1 สะบ้าเคลื่อนออกไม่บ่อย บางครั้งสุนัขอาจยกขา สะบ้ามักอยู่ในร่อง trochlear sulcus เป็นปกติเมื่อเริ่มตรวจคลำ แต่เมื่อจับขาเหยียดออกจะดันสะบ้าออกจากร่อง trochlear sulcus ได้ง่ายและกลับเข้าที่ได้เอง อาจพบการบิดของ tibial tuberosity เกิดขึ้นเล็กน้อย สุนัขมักไม่แสดงอาการเจ็บ

ระดับที่ 2 การเคลื่อนของสะบ้ามักเกิดขึ้นได้บ่อย โดยเฉพาะเมื่อจับขาบิด สะบ้าจะถูกดึงออกจากร่อง trochlear sulcus สัตว์ป่วยจะแสดงอาการเจ็บขาเป็นระยะๆ โดยการ skipping (Hulse and Johnson, 1997) และพบ tibial tuberosity บิดไปจากตำแหน่งเดิมอาจถึง 30 องศา สุนัขที่มีสะบ้าเคลื่อนในระดับนี้เป็นเวลานาน อาจพบการกร่อนของผิวด้านในของสะบ้าและบริเวณส่วนต้นของ trochlear ridge

ระดับที่ 3 สะบ้ามักเคลื่อนหลุดตลอดเวลา ร่วมกับมีการบิดของกระดูก tibial tuberosity ตั้งแต่ 30-60 องศา แต่อาจดันสะบ้ากลับได้ด้วยการเหยียดข้อเข่าและบิดกระดูก tibia นอกจากนี้อาจพบการเบี่ยงเบนแนวของเอ็นกลุ่มกล้ามเนื้อ quadriceps หรือมีความผิดปกติของเนื้อเยื่อที่ทำหน้าที่พยุง stifle joint อาจพบการผิดรูปร่างของกระดูก tibia และ femur สัตว์ป่วยในระดับนี้จะแสดงอาการเจ็บตลอดเวลา ขาของสุนัขมักอยู่ในท่ากึ่งงอเข่า ร่อง trochlear sulcus ตื้น

ระดับที่ 4 ในระดับนี้มักเกิดการเคลื่อนของสะบ้าอย่างถาวร โดยที่ไม่สามารถดันกลับได้ และมีการบิดของกระดูก tibial tuberosity ประมาณ 60-90 องศา ร่อง trochlear sulcus อาจตื้นหรือหายไป และบางครั้งอาจพบมีลักษณะนูน (convex) ลักษณะของขาหลังผิดไป อาจมีการบิดของแนวเอ็นกลุ่มกล้ามเนื้อ quadriceps ความผิดปกติของเนื้อเยื่อที่พยุงข้อเข่าและการผิดรูปร่างของกระดูก femur และ tibia ในระดับนี้สัตว์ป่วยจะเจ็บขาตลอดเวลาไม่สามารถเหยียดข้อเข่าได้ และเดินลากขา




วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2559

โรคสะบ้าเคลื่อนในสุนัข (Patellar Luxation)

โรคสะบ้าเคลื่อนในสุนัข (Patellar Luxation)


สะบ้าเคลื่อน (patellar luxation) เป็นความผิดปกติของข้อเข่า พบมากในสุนัขพันธุ์เล็ก เช่น miniature และ toy poodles, yorkshire terriers, pomeranians, pekingese, chihuahuas และ boston terriers มักพบการเคลื่อนเข้าด้านใน (medial) มากกว่าเคลื่อนออกด้านข้าง (lateral) การเคลื่อนของสะบ้าในสุนัขส่วนใหญ่เป็นมาแต่กำเนิด หรือเกิดขึ้นภายหลังจากการกระทบกระแทก สุนัขที่มีสะบ้าเคลื่อนเป็นเวลานานมักพบการฉีกขาดของ cranial cruciate ligament และ meniscus ร่วมด้วย ทำให้เกิด lateral collateral instability และเกิดโรคข้อเสื่อมตามมา


กระดูกสะบ้าฝังอยู่ในเอ็นรวมของกลุ่มกล้ามเนื้อ quadriceps ซึ่งประกอบด้วยกล้ามเนื้อ rectus femoris, vastus lateralis, vastus intermedius และ vastus medialis รวมกันเป็น patellar ligament ยึดติดกับขอบด้านล่างของสะบ้า ไปยึดเกาะที่ tibial tuberosity ของกระดูก tibia ส่วนของ trochlear ridges ของกระดูก femur จะช่วยกักสะบ้าไว้ในร่อง trochlear sulcus และอยู่ในแนวที่เหมาะสำหรับการทำงานของกลุ่มกล้ามเนื้อ quadriceps, patellar ligament และ tibial tuberosity ถ้ามีความผิดปกติอย่างใดอย่างหนึ่งของลักษณะทางกายวิภาคของส่วนต่างๆเหล่านี้ จะทำให้เกิดการเคลื่อนของสะบ้าขึ้น
ลักษณะและอาการของสุนัขที่มีสะบ้าเคลื่อน
อาการของสุนัขที่มีสะบ้าเคลื่อน แบ่งตามระดับความรุนแรงของสะบ้าที่เคลื่อนออกได้เป็น 4 ระดับ คือ

ระดับที่ 1 สะบ้าเคลื่อนออกไม่บ่อย บางครั้งสุนัขอาจยกขา สะบ้ามักอยู่ในร่อง trochlear sulcus เป็นปกติเมื่อเริ่มตรวจคลำ แต่เมื่อจับขาเหยียดออกจะดันสะบ้าออกจากร่อง trochlear sulcus ได้ง่ายและกลับเข้าที่ได้เอง อาจพบการบิดของ tibial tuberosity เกิดขึ้นเล็กน้อย สุนัขมักไม่แสดงอาการเจ็บ

ระดับที่ 2 การเคลื่อนของสะบ้ามักเกิดขึ้นได้บ่อย โดยเฉพาะเมื่อจับขาบิด สะบ้าจะถูกดึงออกจากร่อง trochlear sulcus สัตว์ป่วยจะแสดงอาการเจ็บขาเป็นระยะๆ โดยการ skipping (Hulse and Johnson, 1997) และพบ tibial tuberosity บิดไปจากตำแหน่งเดิมอาจถึง 30 องศา สุนัขที่มีสะบ้าเคลื่อนในระดับนี้เป็นเวลานาน อาจพบการกร่อนของผิวด้านในของสะบ้าและบริเวณส่วนต้นของ trochlear ridge

ระดับที่ 3 สะบ้ามักเคลื่อนหลุดตลอดเวลา ร่วมกับมีการบิดของกระดูก tibial tuberosity ตั้งแต่ 30-60 องศา แต่อาจดันสะบ้ากลับได้ด้วยการเหยียดข้อเข่าและบิดกระดูก tibia นอกจากนี้อาจพบการเบี่ยงเบนแนวของเอ็นกลุ่มกล้ามเนื้อ quadriceps หรือมีความผิดปกติของเนื้อเยื่อที่ทำหน้าที่พยุง stifle joint อาจพบการผิดรูปร่างของกระดูก tibia และ femur สัตว์ป่วยในระดับนี้จะแสดงอาการเจ็บตลอดเวลา ขาของสุนัขมักอยู่ในท่ากึ่งงอเข่า ร่อง trochlear sulcus ตื้น

ระดับที่ 4 ในระดับนี้มักเกิดการเคลื่อนของสะบ้าอย่างถาวร โดยที่ไม่สามารถดันกลับได้ และมีการบิดของกระดูก tibial tuberosity ประมาณ 60-90 องศา ร่อง trochlear sulcus อาจตื้นหรือหายไป และบางครั้งอาจพบมีลักษณะนูน (convex) ลักษณะของขาหลังผิดไป อาจมีการบิดของแนวเอ็นกลุ่มกล้ามเนื้อ quadriceps ความผิดปกติของเนื้อเยื่อที่พยุงข้อเข่าและการผิดรูปร่างของกระดูก femur และ tibia ในระดับนี้สัตว์ป่วยจะเจ็บขาตลอดเวลาไม่สามารถเหยียดข้อเข่าได้ และเดินลากขา


ขอขอบคุณที่มา
http://www.prscthailand.com

วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ทำไม?? สุนัขถึงสบัดหูบ่อยๆ

เคยมั้ยที่สุนัขของคุณมีอาการเกาหู, สบัดหู, มีกลิ่นและขี้หู ถ้าใช่อย่าเพิ่งนิ่งนอนใจ สุนัขของคุณอาจจะกำลังมีปัญหาเกี่ยวกับช่องหูอยู่อย่างแน่นอน 




งั้นเรามาดูสาเหตุวิธีรักษากันเลยดีกว่า       


สาเหตุของปัญหาหูอักเสบ  แบ่งออกเป็น 2 ปัจจัยหลัก ได้แก่...

         1. สาเหตุโน้มนำ

          ลักษณะโครงสร้างประจำพันธุ์ของสุนัขที่มีช่องหูตีบแคบ ใบหูพับลง หรือมีขนภายในช่องหูมาก

         2. สาเหตุหลัก เช่น ปรสิตภายนอก (เช่น เห็บ, หมัด หรือไรขี้เรื้อน), เชื้อโรค (เช่น แบคทีเรีย หรือรา) หรือ การแพ้ต่างๆ เช่น สิ่งสูดดม, อาหาร หรือสิ่งสัมผัส เป็นต้น

          การติดเชื้อแบคทีเรีย

          การติดเชื้อยีสต์หรือเชื้อรา

          การติดพยาธิภายนอก เช่น ไรขี้เรื้อนเปือก หรือไรขี้เรื้อนแห้ง เป็นต้น

          การแพ้ เป็นความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันซึ่งตอบสนองไวเกินไป จัดเป็นสาเหตุหลักที่สำคัญของปัญหาหูอักเสบ ได้แก่ การแพ้สิ่งสูดดม การแพ้อาหาร การแพ้สิ่งสัมผัส หรือแพ้ยา

          สิ่งแปลกปลอมหรือการได้รับบาดเจ็บต่างๆ สุนัขจะเกาหรือทำร้ายตัวเองจนเกิดบาดแผลและเป็นผลให้เกิดการติดเชื้อแทรกซ้อนตามมาได้

          ความผิดปกติทางฮอร์โมน เนื่องจากความไม่สมดุลของฮอร์โมน

การทำความสะอาดช่องหู

         ช่องหูของสุนัขและแมวจะลักษณะเป็นท่อรูปตัว  L มักมีขนขึ้นมากในช่องหู ต้องถอนออกให้เรียบร้อย

         การใช้น้ำยาล้างหู โดยหยอดน้ำยาลงในช่องหูแล้วนวดเบาๆบริเวณโคนหูประมาณ30 วินาที แล้วจึงซับให้แห้งด้วยสำลีสะอาดและใช้ก้านไม้ที่พันด้วยสำลีที่ชุ่มน้ำยาทำ ความสะอาดช่องหู ทำซ้ำกันจนไม่พบว่ามีเศษเนื้อเยื่อ หรือขี้หูหลงเหลืออยู่ในช่องหูอีก หลังจากทำความสะอาดหูแล้ว ปล่อยให้เค้าสะบัดหู หรือสะบัดหัว สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง เนื่องจากการเช็ดหูบ่อยเกินไปอาจทำให้เยื่อบุช่องหูระคายเคืองได้



การป้องกันโรคหู

         เนื่องจากโดยปกติหูที่มีสุขภาพดีจะมีความสามารถในการป้องกันจากการติด เชื้อจุลินทรีย์นี้ได้ดี แต่ถ้าสิ่งแวดล้อมในช่องหูมีการเปลี่ยนแปลงไปอันเนื่องมาจากการแพ้ หรือมีความผิดปกติทางฮอร์โมน หรือมีความชื้น เชื้อแบคทีเรียและยีสต์จะสามารถเจริญเติบโตได้เป็นอย่างดี เป็นผลทำให้ไปทำลายกลไกการป้องกันการติดเชื้อที่ร่างมีอยู่ ดังนั้น สิ่งสำคัญที่ทำให้ช่องหูมีสุขภาพดีคือ ความสะอาด ควรตรวจสอบช่องหูของสัตว์เลี้ยงเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ 

         โดยถ้ามีขี้หูเพียงเล็กน้อยถือว่าเป็นสิ่งปกติ แต่ถ้าสัตว์เลี้ยงชอบเล่นน้ำมาก หรือมีใบหูยาวห้อย หรือมีประวัติโรคของช่องหู ควรทำความสะอาดช่องหูเป็นประจำ(2-3 ครั้งต่อสัปดาห์) นอกจากนี้ช่องหูที่มีขนยาวมากก็ควรตัดให้สั้น เพื่อให้มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก การรักษาโรคของช่องหูควรรักษา หรือกำจัดสาเหตุของโรค ซึ่งเป็นเหตุโน้มนำทำให้เกิดปัญหาของช่องหูจึงจะทำให้การรักษาประสบผลสำเร็จ และไม่กลับมาเป็นซ้ำอีก

การรักษา

         การรักษาจะขึ้นอยู่กับสาเหตุของปัญหาและภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้น ได้แก่

          การติดเชื้อแบคทีเรียจะรักษาโดยการใช้ยาปฏิชีวนะที่เหมาะสมต่อชนิดของแบคทีเรียที่ก่อโรคนั้น

          การติดเชื้อยีสต์จะรักษาด้วยยาต้านเชื้อราแบบเฉพาะที่ในช่องหู เพียงอย่างเดียว ถ้าในกรณีติดเชื้อรุนแรงนั้นจะรักษาด้วยยาต้านเชื้อราแบบเฉพาะที่ในช่องหู ร่วมกับการกินยาฆ่าเชื้อยีสต์ร่วมด้วย

          การติดไรในหู หลักสำคัญในการกำจัดไรในหูให้ได้ผลนั้น จะต้องจะรักษาด้วยยากำจัดไรทั้งที่อยู่ในช่องหูและตามส่วนอื่นของร่างกาย ด้วย ดังนั้นการหยอดหูเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ จำเป็นต้องใช้ยากำจัดปรสิตภายนอกที่อยู่ตามร่างกายร่วมด้วย

          การรักษาการแพ้มักจะรักษาด้วยการหมั่นทำความสะอาดช่องหูอย่าง สม่ำเสมอด้วยน้ำยาทำความสะอาดหู กินยาแก้แพ้ และเสริมกรดไขมันบางชนิด บางครั้งอาจจำเป็นต้องให้ยาลดอักเสบที่มีผลกดระบบภูมิคุ้มกันร่วมด้วย

         กรณีปัญหาช่องหูที่เกิดมาจากโรคอื่นๆในร่างกาย เช่น ความผิดปกติทางฮอร์โมน หรือการแพ้ จะต้องให้การรักษาสัตว์ทั้งตัว ไม่เฉพาะแต่ช่องหู เช่น การรักษาการแพ้สิ่งสูดดมนั้น จะต้องตรวจทดสอบการแพ้แล้วพยายามหลีกเลี่ยงสารดังกล่าว หรือการเสริมฮอร์โมนที่ผิดปกติ เป็นต้น





ขอขอบคุณข้อมูลจาก
http://pet.kapook.com