วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2559

คุณเหมาะกับเฟรนช์ บูลด็อก หรือไม่?




นิสัยของเฟรน บูลด๊อก
ปกติจะชอบทำหน้าหงอยๆ แต่เฟรนบลูด็อก ถือเป็นสุนัขตลก สนุกสนานและ น่าร้ากน่ารัก
แม้จะอยู่ในอพาทเม้นเล็กๆ แต่สำหรับเค้าก็เหมือนได้วิ่งเริงร่าอยู่บนทุ่งกว้าง (คุณจะต้องสังสัยว่าทำไมยังเค้ายังอ้วนได้อีก)

เฟรนบลูด็อกตอนเด็กๆ จะขี้เล่นมากๆ และชอบลูกบอลเป็นชีวิตจิตใจ (โตแล้วบางตัวก็ยังชอบนะ ^ ^)
พอโตแล้วก็จะดูล่ำขึ้น และสามารถกัดหัวมันฝรั่งกระจุยได้สบายๆ แต่ก็ยังชอบทำตัวน่ารักให้เราขบขันตลอดเวลา และชอบเดินเล่นในที่เย็นๆสบายๆ 
เพราะขี้ร้อนจ้า


หากคุณอยากได้สุนัขผู้ซึ่ง......
1.ตัวเล็ก....แต่แข็งแรง และไม่ใช่ สุนัขที่บอบบาง น่าวางไว้บนตัก
2.มีดวงตากลมโตเป็นประกายน่าดึงดูด ปิ้งๆๆ
3.มีเสื้อผ้าให้เลือกมากมายหลายแบบหลายสี แฟชั่นสุดๆ
4.สุภาพต่อผู้อื่น และเพื่อนๆ
5.ชอบเข้าสังคม
6.ไม่ต้องออกกำลังกายมาก
7.ไม่ค่อยเห่า
นี่แหละ ......สุนัขในฝันของคุณจ้าาาา

แต่ถ้าคุณไม่อยากต่อกรกับ....
1.สุนัขบ้าพลัง
2.นอนกรน น้ำลายไหล
3 ชอบเรอ
4..ดื้อรั้นและเป็นจอมทำลายล้าง
3.ค่อนค้างมีปัญหาด้านสุขภาพนิดหน่อย เกี่ยวกับโรคผิวหนังเพราะผิวบอบบาง
4.ราคาค่อนข้าสูง
เฟรนบลูด็อกคงไม่เหมาะกับคุณค่ะ
----------------------------------------------------------
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
http://www.prscthailand.com
https://www.facebook.com/PRSCFanpage/




มารู้จักกับโรค " อัมพาตในสุนัข"

หลายท่านอาจประสบเหตุการณ์ หรือเจอปัญหาสุขภาพ ที่ไม่อยากให้เกิดกับสุนัขของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นโรคภัยไข้เจ็บ หรือเกิดจากอุบัติเหตุ หรือเป็นมาตั้งแต่กำเนิด .. โดยเฉพาะเรื่อง "อัมพาตในสุนัข" วันนี้เรามีข้อมูลเกี่ยวกับ สาเหตุที่ทำให้สุนัขเป็นอัมพาต และวิธี "กายภาพสุนัข" มาฝากผู้อ่านทุกท่านค่ะ


1. โรคเกี่ยวกับหมอนรองกระดูกสันหลัง (Intervertebral disc disease ; IVDD)

     หมอนรองกระดูกสันหลัง เป็นส่วนที่อยู่ระหว่างกระดูกสันหลัง คอยรองรับแรงกระแทกของกระดูกสันหลังเวลาที่ร่างกายเคลื่อนไหว หากเราเอาหมอนรองกระดูกสันหลัง มาหันเป็นแว่นๆ (ภาพตัดขวาง)  ก็จะเห็นเป็น 2 ชั้น คือ ชั้นนอก จะเป็นกระดูกอ่อน เรียกว่า Anulus fibrosus และชั้นใน ซึ่งเป็นเจลลาติน เรียกว่า nucleus pulposus
     โรคเกี่ยวกับหมอนรองกระดูกสันหลัง (IVDD) แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด คือ Hansen type 1 ซึ่งเกิดจากการที่กระดูกอ่อนชั้นนอกปิดไม่สมบูณ์ หรือเกิดการแตกจากแรงกระแทกจากการเคลื่อนไหวที่หนักๆ จึงทำให้เจลลาตินชั้นใน ไปกดเบียดช่องไขสันหลัง ทำให้มีอาการปวดและเป็นอัมพาต ซึ่งมักพบในสุนัขพันธุ์เล็กหรือพันธุ์หน้าสั้น อายุ 2-9 เดือน กับอีกชนิด คือ Hansen type 2 เกิดจากความเสื่อมของกระดูกอ่อนชั้นนอก ทำให้เกิด metaplasia ขึ้นไปกดเบียดช่องไขสันหลัง ทำให้น้องหมาเกิดเป็นอัมพาตได้เช่นกัน ซึ่งมักพบในสุนัขแก่อายุ 5-12 ปีขึ้นไปครับ 

2. โรคมะเร็งและเนื้องอก 

     โรคมะเร็งหรือเนื้องอกในระบบประสาทของสุนัข สามารถพบได้หลายตำแหน่ง เช่น สมอง กระดูกสันหลัง ไขสันหลัง เยื่อหุ้มสมอง หรือเส้นประสาท ซึ่งอาจจะมีต้นกำเนิดจากเซลล์ในระบบประสาทเอง หรือแพร่กระจาย (metastasis) มาจากตำแหน่งหรืออวัยวะอื่น ๆ ก็ได้  ลักษณะของอาการขึ้นกับตำแหน่งของรอยโรค เช่น มะเร็งที่ไขสันหลัง (Spinal tumor) มักจะไปกดเบียดช่องไขสันหลัง ทำให้น้องหมาเจ็บปวดและเป็นอัมพาต (คล้ายกับ โรค IVDD ที่ได้กล่าวไป) ส่วนใหญ่จะพบในน้องหมาแก่ อายุตั้งแต่ 6-10 ปีขึ้นไปครับ

3. โรคไขสันหลังเสื่อม (Degenerative myelopathy)

     โรคนี้พบได้บ่อยในสุนัขแก่อายุมากกว่า 6-9 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะพันธุ์เยอรมันเชฟเฟิร์ด เวลซ์-คอร์กี้ และบ๊อกเซอร์ เกิดจากความเสื่อมของไขสันหลัง เยื่อหุ้มไมอีลิน และแอกซอน (axon) ทำให้น้องหมามีอาการเดินเซ ขาหลังอ่อนแรง เดินลากขา เป็นอัมพาต และในรายทีเป็นเรื้อรังอาจทำให้กล้ามเนื้อสะโพกและกล้ามเนื้อด้านข้างของกระดูกสันหลังฝ่อลีบได้ ผลการศึกษาพบว่า การกลายพันธุ์ของยีน superoxide dismutase 1 (SOD1) อาจเป็นสาเหตุของโรคไขสันหลังเสื่อมในสุนัขได้

4. การบาดเจ็บของกระดูกสันหลัง (Injury to the spine)

     กระดูกสันหลังเป็นส่วนที่สำคัญและค่อนข้างเปราะบาง บางครั้งการเกิดอุบัติเหตุเพียงเล็กน้อยหรือแรงกระแทกจากการเคลื่อนไหวรุนแรง ก็เป็นเหตุให้กระดูกสันหลังเกิดการบาดเจ็บได้ กระดูกสันหลังที่เกิดการแตก หัก เคลื่อนผิดตำแหน่ง ทำให้ผิดรูป ฯลฯ เป็นเหตุให้น้องหมาเจ็บปวด ก้าวเดินผิดปกติ อ่อนแรง และเป็นอัมพาตได้ครับ 

5. โรคติดเชื้อในระบบประสาท

     การติดเชื้อไม่ว่าจะเป็นเชื้อรา เชื้อไวรัส หรือเชื้อแบคทีเรีย ที่ส่งผลต่อระบบประสาท แล้วทำให้สมอง ไขสันหลัง เยื่อหุ้มสมองและไขสันหลังเกิดการอักเสบ อาจเป็นสาเหตุให้น้องหมาเป็นอัมพาตได้ เชื้อที่เราพบได้บ่อยๆ ได้แก่ Rabies virus (โรคพิษสุนัขบ้า), Canine distemper virus (โรคไข้หัดสุนัข) ,Brucella canis (โรคแท้งติดต่อในสุนัข) , Staphylococcus aureus  ฯลฯ หากมีการติดเชื้อเหล่านี้ นอกจากจะเป็นสาเหตุที่ทำให้น้องหมาอาจเป็นอัมพาตได้แล้ว ยังสามารถทำให้เกิดอาการอื่น ๆ ได้ด้วย เช่น ซึม มีไข้ เบื่ออาหาร ฯลฯ แตกต่างกันไปตามแต่สาเหตุที่เป็น ซึ่งเราสามารถทราบได้เบื้องต้น จากการตรวจเลือดและตรวจวิเคราะห์น้ำไขสันหลังครับ

6. โรคอัมพาตจากเห็บในสุนัข (Tick paralysis)
     เห็บที่ว่าร้ายนำโรคพยาธิในเม็ดเลือดมาติดน้องหมาแล้ว ยังนำพาความอัมพาตมาสู่น้องหมาด้วย โรคอัมพาตจากเห็บในสุนัขนี้ พบได้บ่อยพอๆ กับเห็บ เกิดจากการที่เห็บปล่อยสารพิษ neurotoxin ที่มีอยู่ในน้ำลายออกมาทำลายระบบประสาท ทำให้ขาอ่อนแรงอย่างเฉียบพลัน เกิดเป็นอัมพาตแบบกระทันหัน โดยเฉพาะขาหลัง พบในเห็บบางชนิด เช่น Ixodes , Dermacentor , Amblyomma และ Rhipicephalus ความรุนแรงขึ้นกับความไวรับของพิษในร่างกาย ปริมาณของพิษ อายุของสุนัข และระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย พิษจะเข้าไปรบกวนการทำงานของอะซิติลโคลีน (Acetylcholine) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาท ทำให้ขัดขวางการทำงานของระบบประสาทสั่งการช่วงแรกอาจพบขาหลังก้าวย่างไม่สัมพันธ์กัน เห่าไม่มีเสียง (กล่องเสียงเป็นอัมพาต) ทำท่าขากๆ ราวกับจะขย้อนหรืออาเจียน อัตราการหายใจผิดปกติ ต่อมาขาเริ่มอ่อนแรง ไม่มีแรงลุก และเป็นอัมพาตในทีสุด โรคนี้สามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดยาหรือหยอดยา เพื่อป้องกันเห็บให้สุนัขเป็นประจำทุก 1-2 เดือนครับ

7. โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (Myasthenia Gravis ; MG)

     เป็นโรคที่เกิดจากที่ร่างกายสร้างแอนติบอดี (antibody) ขึ้นมาขัดขวางการรับสัญญาณของสารสื่อประสาทชนิดอะซิติลโคลีน (Acetylcholine) ทำให้ระบบประสาทไม่สามารถสั่งการให้ร่างกายทำงานได้ตามปกติ จึงเกิดกล้ามเนื้ออ่อนแรงคล้ายเป็นอัมพาต เคลื่อนไหวไม่ได้ตามที่ใจต้องการ บางครั้งอาจพบ อาการกลืนลำบาก ลำลักอาหาร และอาเจียนในบางราย เนื่องจากมีปัญหาหลอดอาหารขยายใหญ่ (megaesophagus) ร่วมด้วย การจะทราบว่าเป็นโรคนี้หรือไม่ ทราบได้จากการเจาะเลือดตรวจหาแอนติบอดีต่อตัวรับของอะซิติลโคลีน (Anti-Acetycholine Receptor Antibody Test) ในปัจจุบันยังไม่การรักษาให้หายขาดในสุนัข ทำได้แค่เพียงให้ยากดภูมิคุ้มกัน เพื่อยับยั้งไม่ให้ร่างกายสร้างแอนติบอดีขึ้นมา 


8. Wobbler’s syndrome

     เกิดจากการเจริญที่ผิดรูปของกระดูกสันหลังบริเวณส่วนของลำคอ จนไปกดเบียดหรือไปทำความเสียหายให้กับไขสันหลัง เส้นประสาท และเส้นเลือดที่มาเลี้ยง (ทำให้เกิดจากขาดเลือด) ส่งผลให้น้องหมาเจ็บบริเวณกระดูกสันหลังส่วนลำคอ เดินแบบ wobbly gait คือ เดินโงนเงนไปมา (เป็นที่มาของชื่อโรค) และเป็นอัมพาต ส่วนใหญ่จะพบในสุนัขพันธุ์ใหญ่ เช่น โดเบอร์แมน เกรทเดน ฯลฯ ที่มีอายุน้อยกว่า 3 ปี 

9. Fibrocartilaginous embolism 

     เป็นภาวะที่เกิดจากการอุดตัน ซึ่งอาจจะเกิดจากการที่เจลหรือเยลลี ภายในหมอนรองกระดูกสันหลัง ที่เราเรียกว่า nucleus pulposus เกิดการหลุดลอกแล้วล่องลอยไปตามกระแสเลือด เข้าไปอุดตันหรือขัดขวางการนำเลือดไปเลี้ยงในไขสันหลัง ทำให้การนำส่งของสัญญาณประสาทเสียไป อาจทำให้ไขสันหลังขาดเลือดไปเลี้ยง เกิดเป็นอัมพาตขึ้นมาแบบกะทันหัน โดยมากมักจะอุดตันแถวบริเวณส่วนสะโพก ทำให้เป็นอัมพาตที่ขาหลัง อาจจะเป็น 1 หรือ 2 ข้างก็ได้ ซึ่งอาจมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วยขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ไปอุดตัน เช่น ไม่สามารถขับถ่ายปัสสาวะและอุจจาระได้ เจ็บปวด ฯลฯ มักพบในสุนัขพันธุ์ใหญ่และพบได้ทุกวัย แต่หากได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีภายใน 24 ชั่วโมง ก็มีโอกาสกลับมาเป็นปกติได้ 

10. Myelomalacia

     เป็นการที่เซลล์หรือเนื้อเยื่อของกระดูกสันหลังเกิดการตาย จากการขาดเลือดมาเลี้ยง โดยไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด สันนิษฐานว่าอาจเกิดจากการที่กระดูกสันหลังได้รับแรงกระแทกหรือถูกกดเบียด ทำให้เนื้อเยื่อเสียหายหรือถูกทำลาย ส่งผลให้เป็นร่างกายน้องหมาเป็นอัมพาต (โดยเฉพาะขาหลัง) และทำให้เสียชีวิตได้ สามารถพบโรคนี้ได้ในสุนัขทุกพันธุ์ และที่สำคัญยังไม่มีวิธีในการรักษาครับ

น้องหมาที่เป็นอัมพาตนอกจากจะเคลื่อนไหวร่างกายไม่ได้แล้ว  อาจมีปัญหาอื่น ๆ ตามมาได้ เช่น ไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายได้ ไม่สามารถพลิกตัวเองได้ ฯลฯ เราจำเป็นต้องสละเวลาดูแลอย่างใกล้ชิด และช่วยน้องหมาในเรื่องต่างๆ หากไม่สามารถปัสสาวะได้เอง เราต้องช่วยบีบฉี่ให้ โดยกดที่บริเวณช่องท้องน้อย ที่ตำแหน่งของกระเพาะปัสสาวะเบาๆ ทุก 6-8 ชั่วโมง เพื่อป้องกันปัญหากระเพาะปัสสาวะอักเสบ เราต้องหมั่นเช็ดทำความสะอาดตัวน้องหมา รวมถึงสิ่งที่ปูรองนอนทุกวัน กำจัดเห็บหมัดทั้งบนตัวและสิ่งแวดลอมให้ดี หาเบาะนุ่ม ๆ ให้นอน ป้องกันการเกิดแผลกดทับ พลิกตัวบ่อย ๆ ทุก 3-4 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาของปอด ที่สำคัญต้องหมันทำกายภาพให้น้องหมาด้วย เพื่อป้องกันปัญหากล้ามเนื้อฝ่อลีบจากการไม่ได้ใช้อวัยวะด้วยครับ 

การฟื้นฟู - กายภาพสุนัขที่เป็นอัมพาต




การเดินบนสายพานใต้น้ำ มีลักษณะที่ไม่แตกต่างกับการว่ายน้ำ ซึ่งก็คือจะมีน้ำคอยพยุงน้ำหนักตัวไม่เกิดการกดกระแทก ทำให้เสริมสร้างกล้ามเนื้อของขาหน้าและขาหลังแข็งแรงขึ้น โดยลดการบาดเจ็บระหว่างออกกำลังกาย ไม่ให้เกิดการบาดเจ็บ 
Under Water Treadmill ช่วยในการบำบัดรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพการทำงานของร่างกายสัตว์ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบกล้ามเนี้อ กระดูกและระบบประสาท โดยโรคที่สามารถใช้การรักษาทางกายภาพบำบัดได้แก่ ปัญหาโรคกระดูกและข้อ เช่น โรคข้อเสื่อมโรคหมอนรองกระดูกเสื่อม โรคเอ็นข้อเข่าฉีก โรคกล้ามเนื้อฝ่อลีบ ปัญหาโรคทางระบบประสาท การกายภาพบำบัดก่อนและหลังการผ่าตัด เช่น การผ่าตัดสันหลัง การผ่าตัดกระดูก การผ่าตัดข้อ โดยจะช่วยเรื่องบำบัดรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพการทำงานของระบบประสาท กล้ามเนื้อ กระดูกข้อต่อ และเส้นเอ็น ภายหลังการผ่าตัดหรือควบคู่กับการรักษาทางยา นอกจากนี้การเดินลู่วิ่งใต้น้ำยังช่วยในเรื่องการควบคุมน้ำหนักได้อีกด้วย ซึ่งทั้งหมดจะเน้นให้บริการรักษาและฟื้นฟูสัตว์ป่วยให้กลับมาใช้ชีวิตให้ได้ใกล้เคียงหรือกลับมาเป็นปกติให้มากที่สุด ลู่วิ่งใต้น้ำอาศัยการใช้แรงน้ำในการพยุงตัว ขณะเดียวกันสามารถตั้งความเร็วได้ ซึ่งจะช่วยการเดินของสุนัขป่วย ทำให้กระดูก กล้ามเนื้อและข้อต่อมีการขยับ ถือเป็นการออกกำลัง โดยขายังคงรับน้ำหนักบางส่วน
ทำให้ขาทั้งสี่ของสุนัขรับน้ำหนักน้อยลงกว่าน้ำหนักตัวทั้งหมดเมื่ออยู่บนบก โดยขึ้นกับระดับของน้ำที่กำหนด 

ขอขอบคุณข้อมุลจาก 
https://www.dogilike.com
http://www.prscthailand.com

โรคสำคัญที่พบสุนัข

โรคสำคัญที่พบสุนัข

โรคติดเชื้อไวรัสสำคัญๆ ที่เป็นปัญหาต่อสุขภาพของสุนัขในประเทศไทย มี 5 ชนิด ดังนี้

1. โรคไข้หัดสุนัข
สาเหตุ 
- เกิดจากเชื้อ Canine Distemper Virus
- ถูกทำลายได้ง่ายด้วยความร้อน 50-60 องศาเซลเซียส, ความแห้ง, ผงซักฟอก, น้ำยาที่ละลายไขมันต่างๆ, น้ำยาฆ่าเชื้อทั่วๆ ไป, น้ำยาที่ใช้ทำความสะอาด
การติดต่อ
- เชื้อนี้ สามารถติดต่อระหว่างสัตว์ในกลุ่ม Canivore หลายชนิด เช่น สุนัขป่า สุนัขจิ้งจอก
- ในแมวสามารถติดเชื้อได้ แต่ไม่แสดงอาการ
- ติดต่อได้ทางอุจจาระ น้ำลาย ปัสสาวะ น้ำมูก น้ำตา
- การติดต่อที่สำคัญจะผ่านทางอากาศ และการหายใจ
อาการของโรค
- ในช่วง 4-7 วันแรก มีไข้สูง
- 7-14 วันต่อมา อุณหภูมิลดลง
- เยื่อตาอักเสบ
- ทอนซิลอักเสบ
- ในรายที่ไม่รุนแรง อาจมีอาการกระวนกระวาย ร่างกายขาดน้ำ กินอาหารลดลง น้ำหนักตัวลด มีไข้
- ในรายที่มีอาการรุนแรงขึ้น จะแสดงอาการที่ชัดเจนมากขึ้น เช่น มีน้ำมูกและขี้ตา ไอ หายใจลำบาก ท้องเสีย อาเจียน
- ในรายที่เป็นมากขึ้น จะมีอาการเด่นชัดที่พบบ่อยในโรคนี้ เช่น มีน้ำมูกใสในช่วงแรกที่เป็นโรค ในช่วงหลังน้ำมูกจะข้น เป็นหนอง, มีขี้ตาขุ่น อาจพบการอักเสบของกระจกตา เกิดแผลหลุมที่กระจกตา, หายใจลำบากและไอ หากมีการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วยจะมีอาการปอดบวมแทรก, มีตุ่มหนองใต้ท้อง, บริเวณจมูกและฝ่าเท้าจะหนาตัวขึ้น หรือที่เรียกว่า ?hard pad?, อาเจียน ท้องเสีย, มีอาการทางประสาท เช่นชัก อัมพาต



2. โรคตับอักเสบติดต่อในสุนัข
สาเหตุ 
- เกิดจากเชื้อ Canine Adenovirus-1 หรือ CAV-1
- มีชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมได้นานหลายวัน หรือเป็นเดือนขึ้นกับอุณหภูมิและความชื้น
- ถูกทำลายได้ด้วยความร้อน 56 องศาเซลเชียส, สารประกอบไอโอดีน, ฟินอล, NaOH (โซเดียมไฮดรอกไซด์), กลุ่มควอเทอร์นารี่แอมโมเนียม
การติดต่อ
- เชื้อ CAV-1 จะออกมากับปัสสาวะของสัตว์ป่วย และแพร่กระจายได้
- ลูกสัตว์ติดจากแม่ขณะคลอด
- ติดต่อทางรกส่งผลให้ลูกแรกเกิดอ่อนแอ และตายภายในไม่กี่วันหลังจากคลอด
- แม่สุนัขที่เป็นโรคนี้จะเป็นพาหะของโรคได้
อาการของโรค
- ในลูกสุนัขจะแสดงอาการอ่อนแอ หมดแรง และตายอย่างรวดเร็ว
- ต่อมทอนซิลขยายใหญ่
- ไอ และปอดอาจมีเสียงผิดปรกติ เหมือนกับในรายของภาวะปอดบวม
- อาเจียน และอาจมีท้องเสีย
- ช่องท้องส่วนหน้ามีอาการเจ็บ
- คลำช่องท้อง พบลักษณะตับโต และอาจมีท้องมาน
- อาจพบจุดเลือดออก
- การบวมน้ำที่กระจกตา
- อาจพบว่ามีอาการทางระบบประสาท ซึมมาก โซเซ ชัก หมดสติ




3. โรคลำไส้อักเสบติดต่อในสุนัข
สาเหตุ
- เกิดจากเชื้อไวรัส Canine Parvovirus type 2 (CPV-2) ซึ่งเป็นไวรัสที่ทนทานมาก
การติดต่อ
- เชื้อสามารถอยู่นอกร่างกายสัตว์ได้นานเป็นเดือนหรือปี
- ติดเชื้อโดยการกินเชื้อเข้าไป
อาการของโรค
- ทำให้เกิดอาการอาเจียนและท้องเสีย
- มีไข้สูงถึง 104-105 องศาฟาเรนไฮด์ หรือไม่มีไข้
- อาเจียนเป็นฟองใสๆ หรือเป็นเมือกขาวขุ่นหรือปนเลือด, ซึม, เบื่ออาหาร
- ถ่ายอุจจาระเหลวเป็นน้ำหรือวุ้นเหมือนเจลลาติน สีแดงน้ำตาล (เลือด) มีกลิ่นเหม็นคาวเฉพาะของโรคนี้
- ร่างกายขาดน้ำ และน้ำหนักลด
วิธีป้องกัน
- โดยใช้ไฮเตอร์ (น้ำยาฟอกขาว) ล้างพื้นเป็นประจำ ป้องกันได้ เพราะไฮเตอร์มีฤทธิ์ฆ่าไวรัสตัวนี้ได้

4. โรคหลอดลมอักเสบติดต่อในสุนัข
สาเหตุ
- เกิดจากไวรัส Canine Parainfluenza Virus (CPIV)
Canine Distemper Virus (CDV)
Canine Adeno Virus (CAV-1)
Canine Adeno Virus (CAV-2)
- เกิดจากแบคทีเรีย Burdetella Hronchiseptica
Mycoplasma
อาการของโรค
- ไอเรื้อรัง
- พบการตีบตัวของหลอดลม และเกิดการอักเสบที่ระบบทางเดินหายใจส่วนต่างๆ
- ทำให้ตายได้
- ลูกสุนัขเกิดภาวะปอดบวมตามมา

5. โรคพิษสุนัขบ้า
สาเหตุ
- เกิดจากเชื้อ Rabies Virus
- สัตว์เลือดอุ่นทุกชนิด ง่ายต่อการเป็นโรค
- ระยะฟักตัว 3-8 สัปดาห์ ถึง 6 เดือน ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของการติดเชื้อ ลักษณะ และขนาดของบาดแผล
- พบว่าสัตว์ที่เป็นโรคมีจำนวนไวรัสไตเตอร์ในต่อมน้ำลาย หรือในน้ำลายสูงกว่าในสมอง
การติดต่อของโรค
- โอกาสติดเชื้อจากสัตว์ป่วยโดยการถูกกัด เลียโดยเชื้อที่ถูกขับผ่านทางน้ำลาย ทางแผลฉีกขาดที่ผิวหนัง หรือเยื่อเมือกของตา จมูก ปาก หรืออวัยะเพศ การติดเชื้อทางลมหายใจ หรือการสูดละอองไวรัสจากอุจจาระ ปัสสาวะในที่แออัด หรือการแพร่โรคทางรกและน้ำนม
อาการของโรค
- แบ่งเป็น 3 ระยะคือ
5.1 ระยะเริ่มต้น ใช้เวลา 2-3 วัน
- สุนัขจะมีนิสัยเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
- ม่านตาขยายกว้าง
- ไล่งับอากาศ หรือ โงกหลับ
- ชอบหลบตามมุมมืด
5.2 ระยะตื่นเต้น ใช้เวลาประมาณ 1-7 วัน
- สุนัขจะมีอาการตื่นเต้น กระวนกระวาย ดุร้าย กัดทุกอย่างที่ขวางหน้า
- ขากรรไกรล่างห้อย น้ำลายไหลมาก เนื่องจากอัมพาตของกล้ามเนื้อที่ใช้เคี้ยวและกลืน ลิ้นห้อย
- เสียงเห่าหอนผิดปรกติ เกิดจากอัมพาตของกล้ามเนื้อกล่องเสียง
- สุนัขจะลำตัวแข็ง หางตก ขาหลังเริ่มอ่อนเปลี้ย ซึ่งเป็นอาการที่เริ่มเข้าสู่ระยะอัมพาต
5.3 ระยะอัมพาต
- สุนัขมีอาการอ่อนเพลีย
- เกิดอัมพาต โดยจะเริ่มจากส่วนท้ายของลำตัวแล้วไปยังส่วนหัวอย่างรวดเร็ว
- ตายเนื่องจากระบบหายใจเป็นอัมพาต ภายใน 2-4 วัน
ข้อควรแนะนำสำหรับผู้ที่สัมผัส หรือถูกสัตว์ที่เป็นโรคพิษสุนัขบ้ากัด
- รีบล้างแผลด้วยน้ำและสบู่ หรือยาฆ่าเชื้อ
- ทำความสะอาดซ้ำด้วยแอลกอฮอล์ 70 %
- กักขังสัตว์เพื่อดูอาการ อย่างน้อย 10 วัน
- ปรึกษาแพทย์ เพื่อฉีดยาป้องกันบาดทะยักและวัคซีน

โรคสำคัญอื่นๆ ที่พบบ่อยในสุนัข

โรคพยาธิหนอนหัวใจสุนัข (Heartworm Disease)
 เป็นโรคที่พบบ่อยในสุนัข
 เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการหอบหายใจแรงในแมว
 สาเหตุเกิดจาก Dirofilaria Immitis โดยมียุงเป็นพาหะ
วงจรชีวิตพยาธิหนอนหัวใจ
 Microfilaria อาจผ่านจากสุนัขตัวหนึ่งไปสู่อีกตัวหนึ่ง โดยผ่านทางการให้เลือดได้
 สามารถผ่านจากแม่สู่ลูกได้ โดยทางรกในระหว่างตั้งครรภ์
 ลูกสุนัขอายุน้อยกว่า 6 เดือนอาจพบ Microfilaria ในกระแสเลือดได้
 พยาธิหนอนหัวใจตัวแก่ สามารถมีอายุได้ 5-9 ปี
อาการของโรค
 สุนัขที่เลี้ยงอยู่นอกบ้าน มีโอกาสเป็นโรคนี้ได้มากกว่าสุนัขที่เลี้ยงภายในบ้าน
 สุนัขแสดงอาการไอ หายใจลำบาก หอบ หายใจเร็ว เหงือกมีสีคล้ำ และน้ำหนักตัวลดลง
 กรณีที่สุนัขป่วยมานาน จะแสดงอาการของโรคหัวใจ ได้แก่ เกิดท้องมาน หมดสติเป็นครั้งคราว บางรายพบเลือดกำเดาไหลร่วมด้วย
 หากเป็นนานขึ้นเรื่อยๆ สุนัขจะมีม้ามโต ตับโต และโลหิตจาง
 ในรายที่เป็นแบบรุนแรงเฉียบพลันจะมีอาการอ่อนเพลีย เหงือกซีด หอบหายใจแรง ปัสสาวะมีสีแดง โลหิตจาง และสุนัขอาจตายได้ภายในเวลา 24-72 ชั่วโมง
การตรวจวินิจฉัย
 สัตว์แพทย์จะทำการตรวจเบื้องต้น โดยการเจาะเก็บตัวอย่างเลือดมาตรวจหาตัวอ่อน โดยการส่องดูจากกล้องจุลทรรศน์ เรียกว่า วิธี Fresh Blood Smear
 หากสุนัขได้รับการฉีดยาควบคุมโรคพยาธิหนอนหัวใจมาโดยตลอด เมื่อส่องกล้องดูตัวอย่างเลือดจะไม่พบตัวอ่อน
 ใช้วิธีการ X-Ray ดูขนาดของหัวใจซึ่งจะเห็นขนาดของหัวใจที่ขยายใหญ่ และบางรายจะเห็นเส้นเลือดแดงที่ไปเลี้ยงปอดมีขนาดใหญ่กว่าปรกติชัดเจน
ระดับความรุนแรงของโรค
 สุนัขไม่แสดงอาการหรือความผิดปรกติใด ไม่พบการเปลี่ยนแปลงของภาพ X-Ray เมื่อมีพยาธิอยู่เพียงเล็กน้อย
 สุนัขมีอาการไอ ความสามารถในการออกกำลังการลดลง มีการเปลี่ยนแปลงของหัวใจจากภาพ X-Ray ไม่มาก
 สุนัขมีอาการไอ ความสามารถในการออกกำลังกายลดลงอย่างมาก เหนื่อยง่าย หมดสติ บางรายมีอาการท้องมาน ภาพ X-Ray พบความเปลี่ยนแปลงของหัวใจอย่างมาก
 สุนัขมีอาการคล้ายระดับที่ 3 แต่เกิดอาการแบบเฉียบพลัน ปัสสาวะมีสีแดง มีอาการของภาวะหัวใจล้มเหลวเนื่องจากมีพยาธิจำนวนมากอุดตันที่เส้นเลือดดำใหญ่
การรักษา มี 2 ขั้น คือ
 ขั้นแรก การกำจัดพยาธิตัวแก่ด้วยยาหรือการผ่าตัด
 ขั้นที่สอง การกำจัด Microfilaria โดยการใช้ยา
การป้องกันพยาธิหนอนหัวใจ
 ใช้ยาในการกำจัดตัวอ่อนของพยาธิ
 ฉีดยาเข้าชั้นใต้ผิวหนัง โดยเริ่มโปรแกรมที่อายุ 3 เดือน หลังจากนั้นกระตุ้นซ้ำทุก 2 เดือน หรือควบคุมโดยใช้ยากินทุก 1 เดือน หรือตามที่สัตวแพทย์แนะนำ
 แมวสามารถติดพยาธิหนอนหัวใจได้ แต่ตัวพยาธิจะมีอายุอยู่ในร่างกายแมวได้ไม่นาน และไม่สามารถสร้างตัวอ่อนออกสู่กระแสเลือดได้

 ขอขอบคุณข้อมูลจาก
http://pitbullzone.com/