วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2559

โรคสะบ้าเคลื่อนในสุนัข (Patellar Luxation)

โรคสะบ้าเคลื่อนในสุนัข (Patellar Luxation)


สะบ้าเคลื่อน (patellar luxation) เป็นความผิดปกติของข้อเข่า พบมากในสุนัขพันธุ์เล็ก เช่น miniature และ toy poodles, yorkshire terriers, pomeranians, pekingese, chihuahuas และ boston terriers มักพบการเคลื่อนเข้าด้านใน (medial) มากกว่าเคลื่อนออกด้านข้าง (lateral) การเคลื่อนของสะบ้าในสุนัขส่วนใหญ่เป็นมาแต่กำเนิด หรือเกิดขึ้นภายหลังจากการกระทบกระแทก สุนัขที่มีสะบ้าเคลื่อนเป็นเวลานานมักพบการฉีกขาดของ cranial cruciate ligament และ meniscus ร่วมด้วย ทำให้เกิด lateral collateral instability และเกิดโรคข้อเสื่อมตามมา


กระดูกสะบ้าฝังอยู่ในเอ็นรวมของกลุ่มกล้ามเนื้อ quadriceps ซึ่งประกอบด้วยกล้ามเนื้อ rectus femoris, vastus lateralis, vastus intermedius และ vastus medialis รวมกันเป็น patellar ligament ยึดติดกับขอบด้านล่างของสะบ้า ไปยึดเกาะที่ tibial tuberosity ของกระดูก tibia ส่วนของ trochlear ridges ของกระดูก femur จะช่วยกักสะบ้าไว้ในร่อง trochlear sulcus และอยู่ในแนวที่เหมาะสำหรับการทำงานของกลุ่มกล้ามเนื้อ quadriceps, patellar ligament และ tibial tuberosity ถ้ามีความผิดปกติอย่างใดอย่างหนึ่งของลักษณะทางกายวิภาคของส่วนต่างๆเหล่านี้ จะทำให้เกิดการเคลื่อนของสะบ้าขึ้น
ลักษณะและอาการของสุนัขที่มีสะบ้าเคลื่อน
อาการของสุนัขที่มีสะบ้าเคลื่อน แบ่งตามระดับความรุนแรงของสะบ้าที่เคลื่อนออกได้เป็น 4 ระดับ คือ

ระดับที่ 1 สะบ้าเคลื่อนออกไม่บ่อย บางครั้งสุนัขอาจยกขา สะบ้ามักอยู่ในร่อง trochlear sulcus เป็นปกติเมื่อเริ่มตรวจคลำ แต่เมื่อจับขาเหยียดออกจะดันสะบ้าออกจากร่อง trochlear sulcus ได้ง่ายและกลับเข้าที่ได้เอง อาจพบการบิดของ tibial tuberosity เกิดขึ้นเล็กน้อย สุนัขมักไม่แสดงอาการเจ็บ

ระดับที่ 2 การเคลื่อนของสะบ้ามักเกิดขึ้นได้บ่อย โดยเฉพาะเมื่อจับขาบิด สะบ้าจะถูกดึงออกจากร่อง trochlear sulcus สัตว์ป่วยจะแสดงอาการเจ็บขาเป็นระยะๆ โดยการ skipping (Hulse and Johnson, 1997) และพบ tibial tuberosity บิดไปจากตำแหน่งเดิมอาจถึง 30 องศา สุนัขที่มีสะบ้าเคลื่อนในระดับนี้เป็นเวลานาน อาจพบการกร่อนของผิวด้านในของสะบ้าและบริเวณส่วนต้นของ trochlear ridge

ระดับที่ 3 สะบ้ามักเคลื่อนหลุดตลอดเวลา ร่วมกับมีการบิดของกระดูก tibial tuberosity ตั้งแต่ 30-60 องศา แต่อาจดันสะบ้ากลับได้ด้วยการเหยียดข้อเข่าและบิดกระดูก tibia นอกจากนี้อาจพบการเบี่ยงเบนแนวของเอ็นกลุ่มกล้ามเนื้อ quadriceps หรือมีความผิดปกติของเนื้อเยื่อที่ทำหน้าที่พยุง stifle joint อาจพบการผิดรูปร่างของกระดูก tibia และ femur สัตว์ป่วยในระดับนี้จะแสดงอาการเจ็บตลอดเวลา ขาของสุนัขมักอยู่ในท่ากึ่งงอเข่า ร่อง trochlear sulcus ตื้น

ระดับที่ 4 ในระดับนี้มักเกิดการเคลื่อนของสะบ้าอย่างถาวร โดยที่ไม่สามารถดันกลับได้ และมีการบิดของกระดูก tibial tuberosity ประมาณ 60-90 องศา ร่อง trochlear sulcus อาจตื้นหรือหายไป และบางครั้งอาจพบมีลักษณะนูน (convex) ลักษณะของขาหลังผิดไป อาจมีการบิดของแนวเอ็นกลุ่มกล้ามเนื้อ quadriceps ความผิดปกติของเนื้อเยื่อที่พยุงข้อเข่าและการผิดรูปร่างของกระดูก femur และ tibia ในระดับนี้สัตว์ป่วยจะเจ็บขาตลอดเวลาไม่สามารถเหยียดข้อเข่าได้ และเดินลากขา


ขอขอบคุณที่มา
http://www.prscthailand.com

วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ทำไม?? สุนัขถึงสบัดหูบ่อยๆ

เคยมั้ยที่สุนัขของคุณมีอาการเกาหู, สบัดหู, มีกลิ่นและขี้หู ถ้าใช่อย่าเพิ่งนิ่งนอนใจ สุนัขของคุณอาจจะกำลังมีปัญหาเกี่ยวกับช่องหูอยู่อย่างแน่นอน 




งั้นเรามาดูสาเหตุวิธีรักษากันเลยดีกว่า       


สาเหตุของปัญหาหูอักเสบ  แบ่งออกเป็น 2 ปัจจัยหลัก ได้แก่...

         1. สาเหตุโน้มนำ

          ลักษณะโครงสร้างประจำพันธุ์ของสุนัขที่มีช่องหูตีบแคบ ใบหูพับลง หรือมีขนภายในช่องหูมาก

         2. สาเหตุหลัก เช่น ปรสิตภายนอก (เช่น เห็บ, หมัด หรือไรขี้เรื้อน), เชื้อโรค (เช่น แบคทีเรีย หรือรา) หรือ การแพ้ต่างๆ เช่น สิ่งสูดดม, อาหาร หรือสิ่งสัมผัส เป็นต้น

          การติดเชื้อแบคทีเรีย

          การติดเชื้อยีสต์หรือเชื้อรา

          การติดพยาธิภายนอก เช่น ไรขี้เรื้อนเปือก หรือไรขี้เรื้อนแห้ง เป็นต้น

          การแพ้ เป็นความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันซึ่งตอบสนองไวเกินไป จัดเป็นสาเหตุหลักที่สำคัญของปัญหาหูอักเสบ ได้แก่ การแพ้สิ่งสูดดม การแพ้อาหาร การแพ้สิ่งสัมผัส หรือแพ้ยา

          สิ่งแปลกปลอมหรือการได้รับบาดเจ็บต่างๆ สุนัขจะเกาหรือทำร้ายตัวเองจนเกิดบาดแผลและเป็นผลให้เกิดการติดเชื้อแทรกซ้อนตามมาได้

          ความผิดปกติทางฮอร์โมน เนื่องจากความไม่สมดุลของฮอร์โมน

การทำความสะอาดช่องหู

         ช่องหูของสุนัขและแมวจะลักษณะเป็นท่อรูปตัว  L มักมีขนขึ้นมากในช่องหู ต้องถอนออกให้เรียบร้อย

         การใช้น้ำยาล้างหู โดยหยอดน้ำยาลงในช่องหูแล้วนวดเบาๆบริเวณโคนหูประมาณ30 วินาที แล้วจึงซับให้แห้งด้วยสำลีสะอาดและใช้ก้านไม้ที่พันด้วยสำลีที่ชุ่มน้ำยาทำ ความสะอาดช่องหู ทำซ้ำกันจนไม่พบว่ามีเศษเนื้อเยื่อ หรือขี้หูหลงเหลืออยู่ในช่องหูอีก หลังจากทำความสะอาดหูแล้ว ปล่อยให้เค้าสะบัดหู หรือสะบัดหัว สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง เนื่องจากการเช็ดหูบ่อยเกินไปอาจทำให้เยื่อบุช่องหูระคายเคืองได้



การป้องกันโรคหู

         เนื่องจากโดยปกติหูที่มีสุขภาพดีจะมีความสามารถในการป้องกันจากการติด เชื้อจุลินทรีย์นี้ได้ดี แต่ถ้าสิ่งแวดล้อมในช่องหูมีการเปลี่ยนแปลงไปอันเนื่องมาจากการแพ้ หรือมีความผิดปกติทางฮอร์โมน หรือมีความชื้น เชื้อแบคทีเรียและยีสต์จะสามารถเจริญเติบโตได้เป็นอย่างดี เป็นผลทำให้ไปทำลายกลไกการป้องกันการติดเชื้อที่ร่างมีอยู่ ดังนั้น สิ่งสำคัญที่ทำให้ช่องหูมีสุขภาพดีคือ ความสะอาด ควรตรวจสอบช่องหูของสัตว์เลี้ยงเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ 

         โดยถ้ามีขี้หูเพียงเล็กน้อยถือว่าเป็นสิ่งปกติ แต่ถ้าสัตว์เลี้ยงชอบเล่นน้ำมาก หรือมีใบหูยาวห้อย หรือมีประวัติโรคของช่องหู ควรทำความสะอาดช่องหูเป็นประจำ(2-3 ครั้งต่อสัปดาห์) นอกจากนี้ช่องหูที่มีขนยาวมากก็ควรตัดให้สั้น เพื่อให้มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก การรักษาโรคของช่องหูควรรักษา หรือกำจัดสาเหตุของโรค ซึ่งเป็นเหตุโน้มนำทำให้เกิดปัญหาของช่องหูจึงจะทำให้การรักษาประสบผลสำเร็จ และไม่กลับมาเป็นซ้ำอีก

การรักษา

         การรักษาจะขึ้นอยู่กับสาเหตุของปัญหาและภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้น ได้แก่

          การติดเชื้อแบคทีเรียจะรักษาโดยการใช้ยาปฏิชีวนะที่เหมาะสมต่อชนิดของแบคทีเรียที่ก่อโรคนั้น

          การติดเชื้อยีสต์จะรักษาด้วยยาต้านเชื้อราแบบเฉพาะที่ในช่องหู เพียงอย่างเดียว ถ้าในกรณีติดเชื้อรุนแรงนั้นจะรักษาด้วยยาต้านเชื้อราแบบเฉพาะที่ในช่องหู ร่วมกับการกินยาฆ่าเชื้อยีสต์ร่วมด้วย

          การติดไรในหู หลักสำคัญในการกำจัดไรในหูให้ได้ผลนั้น จะต้องจะรักษาด้วยยากำจัดไรทั้งที่อยู่ในช่องหูและตามส่วนอื่นของร่างกาย ด้วย ดังนั้นการหยอดหูเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ จำเป็นต้องใช้ยากำจัดปรสิตภายนอกที่อยู่ตามร่างกายร่วมด้วย

          การรักษาการแพ้มักจะรักษาด้วยการหมั่นทำความสะอาดช่องหูอย่าง สม่ำเสมอด้วยน้ำยาทำความสะอาดหู กินยาแก้แพ้ และเสริมกรดไขมันบางชนิด บางครั้งอาจจำเป็นต้องให้ยาลดอักเสบที่มีผลกดระบบภูมิคุ้มกันร่วมด้วย

         กรณีปัญหาช่องหูที่เกิดมาจากโรคอื่นๆในร่างกาย เช่น ความผิดปกติทางฮอร์โมน หรือการแพ้ จะต้องให้การรักษาสัตว์ทั้งตัว ไม่เฉพาะแต่ช่องหู เช่น การรักษาการแพ้สิ่งสูดดมนั้น จะต้องตรวจทดสอบการแพ้แล้วพยายามหลีกเลี่ยงสารดังกล่าว หรือการเสริมฮอร์โมนที่ผิดปกติ เป็นต้น





ขอขอบคุณข้อมูลจาก
http://pet.kapook.com

วันอังคารที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ทำความรู้จักกับ "โรคไตในสุนัข" ก่อนจะสายเกินแก้

วิธีสังเกตสุนัขว่าอาจเป็นโรคไต และคำแนะนำสำหรับเพื่อนๆที่เลี้ยงสุนัขอายุ 7 ปี ขึ้นไป 



สิ่งที่อยากบอกและแนะนำ สำหรับคนที่เลี้ยงน้องหมา ที่เริ่มแก่ (7 ปี อัพ)

1.อาหารเม็ด ควรเป็นสำหรับหมาแก่ เพราะเค้าจะลดปริมาณโปรตีนลง ให้เหมาะกับที่ร่างกายต้องการ การที่ให้หมาแก่ ทานอาหารโปรตีนสูงมีผลโดยตรงต่อไตของน้องหมา และทำให้เกิดอาการโรคไตได้

2. อาหารเม็ดสำคัญ หากเป็นอาหารเม็ดราคาถูก ที่แสนอร่อย จะส่งผลโดยตรงกับไต และอาจก่อให้เกิดนิ่วได้เนื่องจากการตกตะกอน และ สลายละลายไม่หมด ให้ข้าวสวยหุงกับไก่ต้ม ยังปลอดภัยกว่าค่ะ

3. อาหารคน ที่จะเอาให้น้องหมากิน ควรปรุงแบบไม่แต่งเติม ต้มให้สุกสะอาดพอ ไม่ต้องน้ำปลา น้ำตาล เพื่อสุขภาพสัตว์เลี้ยง ให้จืดๆ ห้ามปรุงรสใดๆทั้งสิ้นค่ะ

4. น้ำ ควรมีจุดทานน้ำเยอะๆ ให้เค้าได้เห็นและทานได้บ่อยๆ ควรเป็นน้ำกรอง ที่คนกินนะคะ การกินน้ำปะปา หรือ น้ำอะไรก็ได้ เป็นความคิดที่ผิด นอกจากจะมีพยาธิแล้ว ยังทำให้เกิดโรคต่างๆได้ด้วยค่ะ ถ้าเค้าทานน้ำน้อย อาจจะลองเอาอาหารเม็ดกวนน้ำให้หอมๆ แล้วให้เค้าทาน เค้าจะทานจนหมดเลยทีเดียว ^^ ไตหมาอ่อนแอกว่าไตคนนะคะ คนยังต้องน้ำกรองเลย

5. การสังเกตุอาการของน้องหมา ไม่ควรนิ่งนอนใจ แม้ว่าจะเป็นไม่เยอะก็ตาม อย่างน้อยสุดให้หมอเจาะเลือดตรวจค่าตับ/ไต /เม็ดเลือดขาว/เม็ดเลือดแดง ถ้าอายุไม่มาก ปีละครั้งถึงสองครั้ง ถ้าอายุ เกิด 7 ปี อย่างน้อย 6 เดือนครั้ง กรณีผลเลือดผิดปกติ ควร Follow up ทุก 3 เดือน

รวมทั้ง ตรวจหาเบาหวาน โรคหัวใจ ปีละครั้ง แต่ไม่ต้องไปนั่งตรวจแสกน ตรวจหามะเร็ง หรือเนื้องอกภายในนะคะ เพราะการไปค้นหา หากพบ ก็ทำการรักษา อาจจะผ่าตัดหรืออะไรก็แล้วแต่ ซึ่งทำให้น้องหมาทรมาน บางตัวไม่เข้าใจ และเสียชีวิตในที่สุดก็มีค่ะ ... แต่ถ้าเป็นงอกออกมา ผ่าตัดรักษาให้เค้าค่ะ



6. ตัวเมีย ควรทำหมันค่ะ ทำให้เค้าอายุยืนยาวขึ้นแน่นอน ป้องกันมดลูกอักเสบตอนอายุเยอะแล้วต้องมาผ่าตัด อันตรายมากค่ะ ส่วนตัวผู้ ก็ควรทำหมัน เพื่อสุขภาพที่ดีและอายุยืนยาว ไม่เสี่ยงเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก นู่นนี่ตอนแก่ค่ะ

7. เรื่อง รพ. แนะนำรพที่มีแพทย์อยู่ดูแล 24 ชม. ในกรณีฉุกเฉิน เป็นกลางดึก ตอนดึก สามารถไปที่ใกล้ที่สุดได้

8. อาหารเสริม อยากบอกว่าสำคัญนะคะ แต่ถ้าเราให้เค้าทานอาหารเกรดพรีเมียมอยู่แล้ว บางทีอาหารเสริมก็ไม่ต้อง แต่ในกรณีที่น้องหมาป่วย ต้องได้รับยาเยอะๆ เราก็จะซื้อวิตมินบำรุงตับ บำรุงเลือด ให้เค้าทาน

วิธีการสังเกตสุนัขว่าอาจจะเป็นแนวโน้มเป็นโรคไต


“โรคไต” เป็นโรคที่ทำการวินิจฉัยได้ยาก เมื่อดูจากอาการภายนอกเพียงอย่างเดียว เนื่องจากไตมักสูญเสียการทำงานมากกว่า 75 % แล้วจึงจะแสดงอาการต่างๆ ออกมา นอกจากนั้นยังมีความกี่ยวข้องกับอวัยวะอีกหลายระบบ อาจทำให้มีอาการที่แสดงออกมาหลากหลายได้ ซึ่งสังเกตได้ ดังนี้

1.กระหายน้ำมากขึ้น และปัสสาวะมากขึ้น
2.ความอยากอาหารลดลง
3.น้ำหนักลด
4.เชื่องช้า และใช้เวลาในการนอนมากขึ้น
5.มีกลื่นปากเหม็น
6.ร่างกายอ่อนแอ
7.เป็นแผลในช่องปาก อาเจียน และท้องเสีย

ความผิดปกติในระบบทางเดินปัสสาวะส่วนล่าง เช่น มีก้อนนิ่วอุดตันในท่อปัสสาวะทำให้ปัสสาวะไม่ออก เกิดการคั่งของปัสสาวะในกระเพาะปัสสาวะเป็นระยะเวลานาน มีผลทำให้สารพิษที่ควรขับออกไปพร้อมกับปัสสาวะเกิดการดูดซึมกลับขึ้นไปทำลายไต หรือการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะส่วนล่างก็มีโอกาสทำให้เชื้อโรคกระจายขึ้นไปยังส่วนไตได้

ภาวะแทรกซ้อนของโรคไต

เมื่อสัตว์เลี้ยงเป็นโรคไตภาวะเหล่านี้อาจจะเกิดขึ้น หรือไม่เกิดเลยก็ได้ ภาวะที่พบได้บ่อยๆ มีดังนี้
ภาวะร่างกายเป็นกรดมากกว่าปกติ ไตทำหน้าที่ปรับสมดุลความเป็นกรด- ด่างให้ร่างกาย เมื่อไต เกิดความเสียหาย ความสามารถในการขับกรดทิ้งจะลดลง เมื่อกรดในเลือดสูงขึ้น สัตว์จะซึม เบื่ออาหาร กล้ามเนื้ออ่อนแรง อาเจียน และอาจทำให้สัตว์ถึงกับชีวิตได้

ภาวะความดันโลหิตสูง มักจะแตกต่างจากในคนที่ระดับคลอเรสเตอรอลในเลือดสูง สาเหตุมักเกิดจาก ภาวะคั่งของเกลือโซเดียมในร่างกาย รวมทั้งภาวะที่ไตถูกกระตุ้นให้หลั่งฮอร์โมน angiotensin ออกมามากกว่าปกติ ส่งผลให้มีความดันเลือดสูงขึ้น หากปล่อยภาวะนี้ไว้นานๆ ไตเสียหายเร็วขึ้น หาก ความดันโลหิตสูงมากๆ จะทำให้เกิดเลือดออกในจอตา สัตว์ อาจตาบอดได้ ในที่สุด

ภาวะโลหิตจาง เนื่องจากไตทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมน erythropoietin ไปกระตุ้นไขกระดูกให้ สร้างเม็ดเลือดแดง เมื่อเป็นโรคไต ฮอร์โมนจะถูกสร้างลดลง ทำให้เกิดภาวะโลหิตจาง
ภาวะกระดูกพรุน เกิดจากการคั่งของ ฟอสฟอรัส ในเลือด เนื่องจากไตขับทิ้งไม่ได้ เพื่อรักษาความสมดุลของ แคลเซียม และฟอสฟอรัสในร่างกาย จึงไปดึงเอาแคลเซียมออกจากกระดูกเพื่อเพิ่มปริมาณแคลเซียมในเลือด จึงทำให้เกิดภาวะกระดูกพรุน

ภาวะของเสียคั่งในเลือด หรือที่เรียกว่า “ยูเรีย” ของเสียเหล่านี้มีความเป็นกรดสูง จึงไปรบกวนระบบเมตาบอลิซึม ต่างๆ ของร่างกาย เช่น ในระบบทางเดินอาหาร จะทำให้เกิดภาวะอาเจียน ท้องเสีย ถ่ายเหลวเป็นเลือดสีดำ และถ้าเกิดการคั่งมากๆ จะไปรบกวนการทำงานของระบบประสาทจนทำให้เกิดอาการชัก ภาวะนี้เราเรียกว่า “uremia” เมื่อสัตว์เกิดภาวะนี้ขึ้น จำเป็นที่จะต้องนำส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด


การรักษาโรคไต

การรักษาโรคไตวายเรื้อรังนั้นสามารถทำได้โดยการผ่าตัดเปลี่ยนไต แต่เนื่องจากมีข้อจำกัด ค่อนข้างมาก ต้องหาผู้บริจาคเนื้อเยื่อไตที่สามารถเข้ากันได้ ค่าใช้จ่ายสูง ในเมืองไทยยังไม่ได้นำวิธีนี้เข้ามา ใช้ในการรักษา เนื่องจากการผ่าตัดมักไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร แต่ในแมวมักได้ผลดีกว่าสุนัข


ดังนั้น โดยทั่วไปการรักษาไตวายเรื้อรัง มักรักษาตามอาการเป็นหลักและสามารถช่วยยืดชีวิตได้นาน
นับเป็นเดือนหรือปี

ต่างจากในรายที่เป็นภาวะไตวายเฉียบพลัน จะรุนแรงมากกว่าถ้าไม่สามารถแก้ไขอย่างทันเวลา การรักษาสามารถทำการฟอกไต เช่นเดียวกับในมนุษย์ แต่มีข้อจำกัดที่การฟอกไตสำหรับสัตว์ในเมืองไทย จะใช้กับสัตว์ที่มีน้ำหนักตัวมากกว่า 10 กิโลกรัม ไม่นิยมใช้ในแมว หรือสุนัขที่มีน้ำหนักตัวน้อยๆ และใช้รักษาเฉพาะภาวะไตวายเฉียบพลัน มากกว่าเรื้อรัง

ดังนั้นการวินิจฉัยที่รวดเร็ว การรักษา และการพยากรณ์โรคที่ดีจะสามารถช่วยชะลอการพัฒนาของโรค และช่วยยืดอายุของสัตว์เลี้ยงให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี และมีความสุข

ข้อควรจำ  อาการเตือนอย่างแรกของการเกิดไตวาย คือ ความกระหายน้ำที่เพิ่มมากขึ้น ดังนั้นหากสัตว์เลี้ยงของคุณดื่มน้ำมากกว่าปกติ หรือสังเกตเห็นอาการต่างๆ ที่กล่าวไว้ ควรรีบพาสุนัขของคุณไปพบแพทย์ทันที








วันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2559

10 วิธีกำจัดกลิ่นปากสุนัข ปัญหาเล็ก ๆ ที่อาจอันตรายต่อร่างกาย !

   กลเม็ดเด็ดเคล็ดลับกำจัดกลิ่นปากสุนัข บอกลาปัญหากลิ่นปากคาวๆ ของน้องหมาให้หมดสิ้นไป มาดูกันว่าวิธีกำจัดกลิ่นปากสุนัขเหมือนคนหรือเปล่า ?

        แม้ปัญหากลิ่นปากเป็นเรื่องที่คนอย่างเราสามารถควบคุมได้ แต่กับสุนัขแล้วมันอาจจะเป็นเรื่องเล็กที่จะกลายเป็นปัญหาใหญ่ถ้าไม่รีบแก้ ซึ่งเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้สุนัขมีกลิ่นปากนั้นคงไม่ได้มาจากอาหารที่กินเข้าไปเพียงอย่างเดียว แต่มันอาจจะก่อตัวมาจากหลาย ๆ สาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นอาการอักเสบในช่องปากและเหงือก มีสิ่งแปลกปลอมติดอยู่ตามซอกฟัน มีเนื้องอกในช่องปาก ระบบทางเดินหายใจ ระบบทางเดินอาหารมีปัญหา หรือเกิดการอักเสบของผิวหนังบนริมฝีปาก ปัญหาการขับถ่ายที่ยากลำบากจนส่งสัญญาณออกมาในรูปของกลิ่นปาก ฉะนั้นวันนี้กระปุกดอทคอมจึงรวบรวมเอาวิธีกำจัดกลิ่นปากสุนัขมาฝากค่ะ 

1. แปรงฟันขัดคราบออกจากเขี้ยว

        เรื่องแรกที่ควรทำก็คือหมั่นแปรงฟันให้สุนัข ด้วยยาสีฟันสำหรับน้องหมาอย่างสม่ำเสมอ แต่ก่อนแปรงฟันทุกครั้งควรสำรวจช่องปากสักนิดว่ามีสิ่งผิดปกติหรือไม่ จากนั้นให้บีบยาสีฟันเล็กน้อยลองป้ายเข้าไปที่ฟันเพื่อทดสอบประสิทธิภาพก่อน ถ้าน้องหมามีอาการจามหรือเบือนหน้าหนีก็ไม่ควรนำมาใช้ แต่ถ้าหากไม่มีอาการผิดปกติก็สามารถแปรงได้เลย โดยจับแปรงเอียงประมาณ 45 องศา แล้วค่อย ๆ ขัดไปตามร่องฟัน ซอกฟัน และซอกเหงือกทั้งด้านใน-ด้านนอก เวลาที่ควรแปรงฟันให้น้องหมาก็น่าจะเป็นหลังกินอาหาร หลังจากพาออกไปเดินเล่นและก่อนเข้านอนจะดีที่สุด

2. ผสมสมุนไพรลงในอาหาร

        สมุนไพรบางชนิดไม่ได้ให้คุณกับคนอย่างเดียว เพราะสามารถนำไปใช้กับน้องหมาได้เช่นกัน โดยสับใบสะระแหน่หรือพาร์สลี่ย์ให้ละเอียดแล้วผสมลงในอาหาร เมื่อน้องหมากินสมุนไพรเหล่านี้เข้าไปก็จะช่วยลดกลิ่นปากได้ แถมยังสามารถรักษาอาการอักเสบในช่องปากได้อีกต่างหาก 

3. บีบมะนาวผสมกับน้ำดื่ม

        ข้อนี้ต้องบอกก่อนเลยว่าควรจะใช้ในปริมาณเล็กน้อย ไม่เช่นนั้นน้องหมาอาจจะเบือนหน้าหนีเพราะรสชาติแสนเปรี้ยวของมะนาว โดยหลังจากเทน้ำดื่มสะอาด ๆ ใส่กะละมังของน้องหมาตามปกติเสร็จแล้ว ก็บีบน้ำมะนาวตามลงไปก็นำไปให้เจ้าตูบดื่มได้เลย 

10 วิธีกำจัดกลิ่นปากสุนัข ปัญหาเล็ก ๆ ที่อาจอันตรายต่อร่างกาย !

4. เคี้ยวแครอทช่วยลดคราบบนผิวฟัน

        คราบสกปรกบนผิวฟันของน้องหมาคืออีกหนึ่งสาเหตุทำให้มีกลิ่นปาก ถ้าไม่อยากเสียเวลาขัดออกให้ลำบากหรือพาไปพบหมอให้ยุ่งยาก ให้นำแครอทหรือเบบี้แครอทมาให้น้องหมาเคี้ยวเล่น เพราะชิ้นเนื้อที่ทั้งแข็งและหนาของแครอทจะช่วยขัดคราบเหล่านั้นให้หลุดร่อนออกมา แถมยังจะได้รับวิตามินเป็นของแถมที่ส่งผลดีต่อสุขภาพร่างกายด้วย

5. ผสมผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากแบบน้ำสำหรับน้องหมาโดยเฉพาะ

        นอกจากวิธีการผสมน้ำมะนาวลงในน้ำดื่มเพื่อช่วยดับกลิ่นปากได้แล้วนั้น ตามร้านขายผลิตภัณฑ์สัตว์เลี้ยงยังมีน้ำยาที่ช่วยดูแลรักษาช่องปากสำหรับน้องหมาโดยเฉพาะ หลังจากซื้อมาแล้วก็สามารถเทผสมลงในถ้วยน้ำของน้องหมาได้เลย โดยใช้อัตราน้ำยาดับกลิ่นปาก 1 ฝาต่อน้ำเปล่า 1 ถ้วยตวง ซึ่งวิธีนี้ช่วยลดกลิ่นคาว ๆ ได้นานเลยเชียวล่ะ 




6. ทำความสะอาดจานข้าวน้องหมาหลังกินเสร็จทุกครั้ง

        เราอาจจะคิดว่าจานข้าวน้องหมากินซ้ำ ๆ คงไม่เป็นไรหรอก แต่จานข้าวนั่นแหละคือตัวการสำคัญที่เปิดโอกาสให้แบคทีเรียก่อตัวขึ้นในปาก หากให้สุนัขกินติดต่อกันทุกมื้อเจ้าเชื้อแบคทีเรียก็จะค่อย ๆ สะสมมากขึ้นจนกลายเป็นกลิ่นปากเหม็น ๆ ดังนั้นหลังจากที่น้องหมากินข้าวเสร็จควรรีบนำจานข้าวไปล้างทุกครั้งหลัง

7. เปลี่ยนถ้วยน้ำดื่มทุกวันอย่าให้มีสิ่งสกปรกตกค้าง
        ใช่ว่าจะผสมน้ำมะนาวและน้ำยาดูแลช่องปากให้น้องหมาแล้วหยุดไว้แค่นั้น แต่ควรทำความสะอาดและเปลี่ยนน้ำในถ้วยน้ำดื่มทุกวันด้วย เพื่อป้องกันเชื้อแบคทีเรียที่เกาะอยู่ตามผิวน้ำและขอบถ้วยไม่ให้ก่อตัวและอพยพเข้าไปอยู่ในปากน้องหมาของเรา



8. เลือกสรรแต่อาหารที่มีกากใยช่วยให้ระบบย่อยดีขึ้น

        อาหารประเภทเนื้อทำให้ระบบทางเดินอาหารของน้องหมาทำงานไม่ค่อยสะดวก บางรายอาจจะถึงกับลำไส้อักเสบเลยก็มี แถมยังเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดกลิ่นปาก แต่ถ้าเราค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนโดยการผสมอาหารที่มีกากใยและโพรไบโอติกลงไป ก็จะช่วยให้ระบบทางเดินอาหารทำงานได้สะดวก ย่อยอาหารง่าย และถ่ายสบายขึ้น แถมกลิ่นปากสุนัขก็จะหายไปด้วย 

9. คอยห้ามไม่ให้สุนัขคุ้ยขยะมากิน 
        กลิ่นอาหารสดและกลิ่นสิ่งของที่อยู่ในถังขยะมักจะชักชวนให้น้องหมาเข้าไปคุ้ยหาอะไรกิน ดังนั้นเราจึงคอยต้องสังเกตและดูแลอย่างใกล้ชิดไม่ให้เขากินสิ่งเหล่านี้เข้าไป เพราะนอกจากจะเป็นอันตรายต่อร่างกายแล้ว ยังทำให้เกิดกลิ่นปากด้วยนะ

10. พาน้องหมาไปพบคุณหมอ

        หากสังเกตเห็นอาการผิดปกติ เช่น มีกลิ่นปากรุนแรง ไม่ค่อยกินอาหาร มีน้ำลายไหลออกเยอะ มีเลือดออกในช่องปาก หรือน้องหมาทำท่าตะกุยปากอยู่ละก็ ให้รีบพาเขาไปพบคุณหมอโดยด่วนเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงและทำการรักษาให้ตรงจุด

        เรื่องกลิ่นตัวน้องหมาว่าแย่แล้ว อาจจะยิ่งแย่กว่าหากน้องหมามีกลิ่นปากด้วย หากไม่อยากให้น้องหมามีกลิ่นปากคาว ๆ จนไม่น่าเข้าใกล้ก็อย่าลืมนำวิธีกำจัดกลิ่นปากสุนัขที่เรานำมาฝากไปใช้กันดูนะคะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
http://pet.kapook.com/view135442.html

วันอาทิตย์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2559

"ขี้เรื้อน" รักษาได้



หากจะกล่าวถึงโรคผิวหนังในสุนัขที่ใครหลายคนต่างรู้จัก คงจะหนีไม่พ้น “โรคขี้เรื้อนหรือโรคไรขี้เรื้อน” แต่ก็มีคนอีกจำนวนไม่น้อยเช่นกัน ที่ไม่เข้าใจว่าโรคขี้เรื้อนจริง ๆ แล้วนั้นเป็นอย่างไร จนบางทีก็เหมารวมว่า น้องหมาที่เป็นโรคผิวหนังนั้นเป็นโรคขี้เรื้อนไปเสียหมด
     ความจริงแล้วโรคผิวหนังเกิดได้จากหลายสาเหตุ โรคขี้เรื้อนก็เป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่ง ซึ่งเกิดจากปรสิตภายนอก คือ ตัวไร (mite) หรือไรขี้เรื้อน ไรขี้เรื้อนที่มักพบมี 2 ชนิด คือ ไรขี้เรื้อนซาร์คอพเตส (Sarcoptes spp.) กับ ไรขี้เรื้อนดีโมเด็กซ์ (Demodex spp.) เจ้าตัวไรขี้เรื้อนซาร์คอพเตส เป็นต้นเหตุของ “โรคไรขี้เรื้อนแห้ง” ส่วนไรขี้เรื้อนดีโมเด็กซ์ เป็นต้นเหตุของ “โรคไรขี้เรื้อนเปียกหรือไรขี้เรื้อนขุมขน” เพื่อให้เพื่อน ๆ เข้าใจโรคไรขี้เรื้อนในสุนัขมากขึ้น เรามาเรียนรู้โรคไรขี้เรื้อนกันไปทีละชนิดกันเลยครับ

โรคไรขี้เรื้อนแห้ง (Sarcopticosis)



โรคไรขี้เรื้อนแห้ง เกิดจากตัวไรขี้เรื้อน Sarcoptes scabiei  เราจึงเรียกชื่อโรคนี้อีกชื่อสั้น ๆ ว่าโรค Scabies เจ้าตัวไรขี้เรื้อนชนิดนี้ มักอาศัยในผิวหนังชั้น stratum corneum โดยชอบอยู่ตามขอบใบหู ใต้ท้อง ข้อศอกและข้อเท้าของขาหลังด้านนอก จึงทำให้น้องมาเกิดอาการเกาคันอย่างรุนแรง คันมากในแบบที่ว่า วัน ๆ ไม่ต้องทำอะไรกันเลย นอกเสียจากการคันและเกา จนทำให้เกิดความเครียด เบื่ออาหาร น้ำหนักลดไปเลยก็มี บางรายอาจเกิดผิวหนังอักเสบ ขนร่วง ตุ่มแดง สะเก็ดรังแค (scale) เกิดคราบสะเก็ดแห้งกรัง (crust) หรือเกิดลักษณะผิวแห้งหนา (lichenification) ร่วมด้วยครับ 

ทราบได้อย่างไรว่าเป็นโรคไรขี้เรื้อนแห้ง
     คุณหมอจะใช้วิธีขูดตรวจที่ผิวหนังด้วยวิธี superficial skin scraping โดยขูดตรวจที่ชั้นผิวตื้น ๆ แต่ต้องขอบอกเพื่อน ๆ  ว่า เจ้าตัวไรขี้เรื้อนซาร์คอพเตส (Sarcoptes spp.) นี้ ค่อนข้างตรวจพบยากมากเลยทีเดียว ส่วนใหญ่มักขูดตรวจไม่พบครับ แต่ถึงจะขูดไม่พบเราก็ไม่สามารถตัดประเด็นโรคนี้ไปได้ บางครั้งอาจต้องวินิจฉัยจากอาการ และดูการตอบสนองต่อยาฆ่าตัวไรขี้เรื้อนที่คุณหมอได้ให้ไปครับ

 นอกจากนี้เรายังใช้วิธีการทดสอบการตอบสนอง (reflex) ด้วยการบีบนวดที่ปลายใบหู เพื่อดูปฏิกิริยาของไรขี้เรื้อน เรียกว่า pinna-pedal reflex โดยสุนัขที่ตอบสนองจะยกขาข้างเดียวกับหูที่เราบีบนวดขึ้นมาเกา ซึ่งมีโอกาสสูง (ประมาณ 70-80%) ที่จะเป็นโรคไรขี้เรื้อนแห้งครับ แต่เราก็ยังไม่สามารถฟันธงได้ เพราะสุนัขที่คันหูหรือมีปัญหาช่องหู ก็มักจะแสดงปฏิกิริยานี้เช่นกัน
โรคไรขี้เรื้อนแห้งรักษากันอย่างไร
     การรักษามีหลายวิธีครับ ขึ้นอยู่กับตัวสัตว์และงบประมาณของเจ้าของ โดยเลือกใช้วิธีการรักษาอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้

     1. ให้คุณหมอฉีดยา ivermectin ทุก ๆ 1-2 สัปดาห์ ต่อเนื่องกัน 2-3 ครั้ง แต่วิธีนี้ห้ามใช้ในสุนัขบางพันธุ์ เช่น Collie, Old English sheepdog, Shetland sheepdog, Australian Shepherds ฯลฯ และพันธุ์ลูกผสมของพันธุ์ดังกล่าว เพราะเป็นพันธุ์ที่มีความไวต่อยาสูง อาจเสี่ยงแพ้ยาได้ง่าย วิธีนี้ราคารักษาค่อนข้างถูกกว่าวิธีอื่น ๆ แต่จัดเป็นยานอกทะเบียนในน้องหมา (extra-label use) ต้องใช้ตามคำแนะนำของคุณหมอเท่านั้นครับ 
     2. ใช้วิธีหยดหลังด้วยยา selamectin ทุก 2 สัปดาห์ ติดต่อกัน  3  ครั้ง สามารถใช้ได้ในสุนัขพันธุ์เสี่ยงดังกล่าวได้
     3. ใช้ยา moxidectin+imidaclopid หยดหลังติดต่อกัน 2 ครั้ง ห่างกัน 4 สัปดาห์ สามารถใช้ได้ในสุนัขพันธุ์เสี่ยงดังกล่าวได้เช่นกัน
     4. ใช้วิธีการป้อนยา milbemycin oxime สัปดาห์ละ 2 ครั้งต่อเนื่องกัน 4 สัปดาห์ วิธีนี้ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงกว่าวิธีอื่น ๆ เล็กน้อย แต่สามารถใช้ในสุนัขพันธุ์เสี่ยงได้ครับ
 
เรื่องจริงที่ต้องรู้เกี่ยวกับโรคไรขี้เรื้อนแห้ง
     โรคไรขี้เรื้อนแห้งสามารถติดต่อทั้งคนและสัตว์ตัวอื่น ๆ ได้ เพื่อน ๆ ควรต้องแยกเลี้ยงน้องหมาที่เป็นโรคกับน้องหมาตัวอื่น ๆ ในบ้านด้วย เพื่อป้องกันการติดต่อสู่กัน รวมทั้งต้องป้อนยาแก้อาการคัน เพื่อช่วยบรรเทาอาการด้วย และหากมีการติดเชื้อแบคทีเรียหรือยีสต์แทรกซ้อน อาจต้องได้รับยาฆ่าเชื้อร่วมด้วยครับ  

 

โรคไรขี้เรื้อนเปียก (Demodicosis)

     โรคไรขี้เรื้อนเปียกหรือโรคไรขี้เรื้อนขุมขน เกิดจากการเจริญเพิ่มจำนวนของตัวไรขี้เรื้อนDemodex canis, Demodex injai  หรือ Demodex cornei  เจ้าตัวไรขี้เรื้อนเหล่านี้ มักอาศัยอยู่ในรูขุมขน ๆ บริเวณใบหน้า หัว รอบตา ลำตัว ขา ฝ่าเท้า และอุ้งเท้า  คอยอาศัย sebum และส่วนของเยื่อบุของ follicle เป็นอาหาร ทำให้น้องมาเกิดอาการขนร่วง มีเม็ดตุ่ม มีตุ่มหนอง ผิวหนังเยิ้มแฉะ มีแผลหลุม มีแผลโพรงทะลุ มีกลิ่นตัว (กลิ่นคาวปลาเค็ม) เกิดรูขุมขนอักเสบ (Folliculitis) ตามมาได้

   บางรายอาจมีการติดเชื้อแบคทีเรียหรือยีสต์แทรกซ้อน ทำให้เกิดอาการเกาคัน อาจพบอาการทางระบบ (systemic) ตามมาได้ เช่น เบื่ออาหาร ซึม น้ำหนักลด และมีไข้ ฯลฯ ในรายที่เป็นเรื้อรังจะเห็นเป็นสะเก็ดแห้งกรัง (crust) มีหนองหรือเลือดออกเกือบทั่วร่างกาย รวมทั้งอาจมีต่อมน้ำเหลืองบวมโตทั่วร่างกาย (Polylymphadenopathy) อีกด้วย ถ้าจะแบ่งประเภทของโรคไรขี้เรื้อนเปียก เราสามารถแบ่งแยกออกได้อีกเป็น  2 แบบครับ คือ
     1. แบบเฉพาะที่ รอยโรคมักจะเกิดเป็นหย่อม ๆ ที่บริเวณใบหน้า หัว รอบตา จำนวนของรอยโรคจะไม่เกิน 3-5 ตำแหน่ง มักพบในลูกสุนัข อายุ 3-6 เดือน หากเป็นประเภทนี้การพยากรณ์โรคจะดี บางรายอาจหายได้เอง แต่บางรายอาจพัฒนากลายเป็นแบบกระจายทั่วตัวได้
     2. แบบกระจายทั่วตัว มักพบรอยโรคที่บริเวณใบหน้า หัว รอบตา ลำตัว ขา ฝ่าเท้า และอุ้งเท้า กระจายเป็นบริเวณกว้าง สามารถพบได้ในสุนัขที่มีอายุระหว่าง 3-18 เดือน และสามารถพบได้ในสุนัขที่โตเต็มที่แล้ว

ทราบได้อย่างไรว่าเป็นโรคไรขี้เรื้อนเปียก
     คุณหมอจะใช้วิธีการขูดตรวจผิวหนังชั้นลึกด้วยวิธี deep skin scraping ในหลาย ๆ ตำแหน่ง วิธีนี้อาจทำให้น้องหมามีเลือดไหลซิบ ๆ ออกมาบ้าง  แต่เพื่อน ๆ ไม่ต้องตกใจนะครับ เพราะไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด สาเหตุที่ต้องขูดตรวจชั้นลึก ก็เพราะว่า เจ้าตัวไรขี้เรื้อนดีโมเด็กซ์ (Demodex spp.) ชอบอาศัยอยู่ในรูขุมขน บางครั้งคุณหมออาจจะใช้วิธีการดึงเส้นขนมาตรวจ (Trichogram) ในตำแน่งที่ขูดตรวจยาก เช่น รอยตา ฝ่าเท้า ง่ามนิ้ว ฯลฯ หรือทำการเก็บชิ้นเนื้อ (Biopsy) มาตรวจในบางรายครับ

โรคไรขี้เรื้อนเปียกรักษากันอย่างไร
     - ในกรณีเป็นแบบเฉพาะที่  
     แนะนำให้ใช้การอาบน้ำและฟอกด้วยแชมพูที่มีส่วนผสมของ benzoyl peroxide หรือ chlorhexidine โดยผสมแชมพูรวมกับน้ำ แล้วฟอกที่บริเวณรอยโรคทิ้งไว้นาน 5-10 นาที ทำเช่นนี้สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง เจ้าของอาจต้องโกนขนหรือตัดขนบริเวณรอยโรคให้สั้น เพื่อให้ตัวยาในแชมพูสัมผัสกับรอยโรคได้ดียิ่งขึ้น

- ในกรณีเป็นแบบกระจายทั่วตัว 
     ในการรักษาอาจต้องใช้หลาย ๆ วิธีร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นการอาบน้ำด้วยแชมพูดังกล่าว ร่วมกับใช้ยาฆ่าตัวไร (miticidal) อย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้
     1. ป้อนยา ivermectin หรือป้อนยา milbemycin oxime ให้น้องหมา วันละครั้ง สำหรับยา ivermectin ให้ระวังในสุนัขพันธุ์เสี่ยงด้วยครับ หรือ
     2. ใช้การหยอดหลังด้วยยา moxidectin+imidaclopid ทุก ๆ 1-2 สัปดาห์ หรือ
     3. ให้คุณหมอฉีดยา doramectin ทุก ๆ 1-2 สัปดาห์ก็ได้ แต่ห้ามใช้ในสุนัขพันธุ์เสี่ยงเช่นกัน และ
     4. ใช้การพ่นหรือทายา amitraz บนตัวน้องหมาทุก ๆ สัปดาห์ โดยแนะนำให้ตัดขนให้สั้นก่อน เพื่อให้ยาสัมผัสกับรอบโรคได้ดียิ่งขึ้น และควรสวมปลอกคอกันเลีย เพื่อป้องกันน้องหมาเลียรับเอาสารพิษจากยาเข้าสู่ร่างกายทางปากด้วย 
    ยาแต่ละตัวที่ได้กล่าวไปนี้ มีผลข้างเคียงและข้อคำนึงในการใช้ไม่เหมือนกัน  จึงควรต้องใช้ภายใต้คำแนะนำของคุณหมอเท่านั้น ห้ามซื้อมาใช้เองเป็นอันขาด และในการรักษา เราอาจต้องพาน้องหมามาขูดตรวจซ้ำเป็นประจำทุก ๆ เดือน หากขูดตรวจไม่พบตัวไรแล้ว ให้ทำการรักษาต่อไปอีก 4 สัปดาห์ แล้วขูดตรวจซ้ำเป็นครั้งที่สอง หากไม่พบอีกจึงค่อยหยุดการรักษาครับ

Dogilike.com :: โรคไรขี้เรื้อนในน้องหมารักษากันอย่างไร

เรื่องจริงที่ต้องรู้เกี่ยวกับโรคไรขี้เรื้อนเปียก
     1. ตัวไรขี้เรื้อนดีโมเด็กซ์ (Demodex spp.) เป็นเชื้อที่อยู่บนผิวหนังของน้องหมาอยู่แล้วน้องหมาที่เป็นโรคไรขี้เรื้อนเปียก เกิดจากเจริญเติบโตและเพิ่มจำนวนของไรขี้เรื้อนดังกล่าว ยกเว้นลูกสุนัขแรกเกิดที่ภูมิคุ้มกันของร่างกายยังไม่ดีพอ สามารถติดโรคจากแม่ที่ป่วยได้ใน 72 ชั่วโมงแรกหลังคลอด แต่ไม่สามารถติดต่อไปยังสุนัขตัวอื่น ๆ อีกต่อได้
     2. ปัจจัยต่าง ๆ เช่น อายุ พันธุกรรม ภูมิคุ้มกัน อิทธิพลของฮอร์โมน ช่วงเป็นสัด โรคประจำตัว ความเครียด สภาพแวดล้อม การได้รับยากดภูมิคุ้มกัน หรือเคมีบำบัด ฯลฯ ล้วนมีส่วนช่วยให้เกิดปัญหาโรคไรขี้เรื้อนเปียกขึ้นมาได้
     3. โรคไรขี้เรื้อนเปียกในสุนัขโต อาจเป็นผลตามมาจากโรคอื่น ๆ ที่ซ่อนเร้นอยู่ ทำให้บางครั้งอาจต้องใช้เวลาในการรักษายาวนานกว่าจะเห็นผล (อย่างน้อย 3-6 เดือน) ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะไม่หายขาด
     4. เราจะบอกได้ว่าน้องหมาหายจากโรคไรขี้เรื้อนเปียกได้แล้ว ก็ต่อเมื่อไม่พบการกลับมาเป็นซ้ำอีกภายในระยะเวลา 1 ปี
     5. เจ้าของที่รักษาน้องหมามานาน แล้วดูทีท่าไม่หายสักที ต้องทำความเข้าใจธรรมชาติของโรคนี้ด้วยนะครับ เพราะบางครั้งการที่เราหยุดยาเร็วเกินไป ก็อาจทำให้น้องหมากลับมาเป็นอีกไม่หายสักที อีกทั้งการติดเชื้อแบคทีเรียหรือยีสต์แทรกซ้อน ทำให้การรักษาโรคยุ่งยากมากขึ้น
     6. โรคนี้ไม่ใช่โรคติดต่อนะครับวางใจได้ แต่อาจถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ เพราะฉะนั้นน้องหมาที่ป่วยอย่างรุนแรง จึงแนะนำให้ทำหมันครับ 

ความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับการรักษาโรคขี้เรื้อนในสุนัข


Dogilike.com :: โรคไรขี้เรื้อนในน้องหมารักษากันอย่างไร
     กรณีการนำเอา “น้ำมันเครื่อง (น้ำมันขี้โล้ว) หรือน้ำมันก๊าด” มาทาหรือราดบนตัวของน้องหมาที่เป็นโรคผิวหนังหรือขี้เรื้อนนั้น ขอเน้นย้ำว่า วิธีนี้เป็นวิธีการรักษาที่ไม่ถูกต้อง การที่เรานำมาทาหรือราดบนตัวของน้องหมานั้น จะทำให้ผิวหนังเกิดการระคายเคืองอย่างรุนแรง ทำให้ผิวหนังเปื่อยหลุดลอก เกิดอาการแพ้ตามมา น้ำมันจะไปชะล้างไขมันตามธรรมชาติออกจากผิวหนัง ทำให้ผิวหนังอ่อนแอลง และหากได้รับผ่านทางการสูดดมก็จะทำให้เกิดการระหายเคืองต่อเยื่อบุโพรงจมูกได้ อีกทั้งสารไฮโดรคาร์บอนที่อยู่ในน้ำมันเครื่อง สามารถซึมผ่านผิวหนังได้ ซึ่งอาจทำให้น้องหมาคลื่นไส้ อาเจียน อ่อนแรง ซึม และหมดสติได้ครับ 
     คงจะได้รับความรู้เกี่ยวกับโรคไรขี้เรื้อนไปไม่น้อยเลยนะครับ สำหรับโรคผิวหนังในสุนัขยังมีอีกมากมาย เพื่อน ๆ ที่สนใจ สามารถติดตามอ่านได้ในคอลัมน์ มุมหมอหมา จาก ด็อกไอไลค์ดอทคอม (Dogilike) ได้เป็นประจำทุกวันพุธ สัญญาว่าจะพยายามนำข้อมูลดี ๆ มาเสนอให้เพื่อน ๆ ได้รับความรู้กันแบบจัดเต็มเช่นเคยครับ


ขอขอบคุณขอมูลจาก 
https://www.dogilike.com